the-dark-poster

รีวิวซีรีส์ Dark ปมเวลา ความลับ และความหายนะในเงามืด

ซีรีส์ Dark แนวไซไฟ-ทริลเลอร์จากเยอรมนีที่ออกฉายผ่าน Netflix ในปี 2017 ถึง 2020 รวมทั้งหมด 3 ซีซั่น โดยผลงานนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในซีรีส์ที่ซับซ้อนและทรงพลังที่สุดเรื่องหนึ่งของยุคใหม่ ด้วยโครงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางข้ามเวลา ปรัชญาเชิงลึก และความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวที่พันกันยุ่งเหยิงอย่างยากจะแยกแยะ

 

ซีรีส์เริ่มต้นในเมืองเล็กๆของเยอรมันชื่อว่า “วินเดน” ที่ดูเหมือนจะสงบสุขแต่เต็มไปด้วยความลับ เมื่อเด็กหนุ่มชื่อมิคาเอลหายตัวไปอย่างลึกลับ ทำให้เกิดการสืบสวนและจุดชนวนเหตุการณ์ประหลาดมากมาย เมื่ออีกเด็กคนหนึ่งชื่อมิคเคลหายตัวไปตามมา ก็เริ่มปรากฏเงื่อนงำว่าเหตุการณ์เหล่านี้เชื่อมโยงกับการเดินทางข้ามเวลา ผ่านถ้ำลึกลับที่ตั้งอยู่ใกล้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของเมือง จากจุดเริ่มต้นที่ดูเหมือนการสืบสวนหาคนหาย ซีรีส์ค่อย ๆ เปิดเผยความลับที่เชื่อมโยงคนในเมืองเข้าด้วยกันอย่างแน่นแฟ้น ทั้งในแง่สายเลือด ความรัก การนอกใจ และการทรยศ การเดินทางข้ามเวลาไม่เพียงแต่เปลี่ยนอดีตหรืออนาคตเท่านั้น แต่ยังกลืนกินศีลธรรม ความดี ความเลว และตัวตนของมนุษย์

 

Dark

 

มีบทที่ซับซ้อนอย่างเหลือเชื่อ มีหลายไทม์ไลน์ (ตั้งแต่ปี 1888 จนถึง 2053) และตัวละครจำนวนมากที่เชื่อมโยงกันในหลายช่วงเวลา ซีรีส์ใช้โครงสร้างการเล่าเรื่องแบบ “ลูปเวลา” (time loop) ที่มีความหมายเชิงปรัชญาลึกซึ้งเกี่ยวกับชะตากรรม (fate), เสรีภาพ (free will), และผลกระทบของการเลือกตัดสินใจในชีวิต นักแสดงทุกคนแสดงได้ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะการรับบทตัวละครเดียวกันในวัยต่าง ๆ ที่ต้องถ่ายทอดบุคลิกแบบเดียวกันอย่างสมจริง การจัดแสง สี และบรรยากาศของซีรีส์เต็มไปด้วยโทนหม่นหมอง สร้างความรู้สึกอึดอัดและกดดันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เสริมด้วยดนตรีประกอบที่น่าขนลุกและเข้ากับธีมของเรื่องเป็นอย่างดี ไม่ได้เล่าเพียงเรื่องของการเดินทางข้ามเวลาเท่านั้น แต่ยังตั้งคำถามถึงธรรมชาติของมนุษย์ ความรัก การให้อภัย การยึดติด และความจริงที่ยากจะยอมรับ ตัวละครแต่ละตัวต่างมีความขัดแย้งภายในที่ลึกซึ้ง ทำให้ผู้ชมตั้งคำถามกับสิ่งที่เรียกว่า “ความดี” และ “ความเลว” อยู่ตลอดเวลา แม้จะยอดเยี่ยมในหลายด้าน แต่ความซับซ้อนของเรื่องอาจทำให้ผู้ชมบางคนรู้สึกสับสน โดยเฉพาะถ้าไม่ตั้งใจดู หรือหยุดดูไปนานจนลืมรายละเอียด นอกจากนี้ การที่ต้องจำชื่อและความสัมพันธ์ของตัวละครจำนวนมากในหลายยุคสมัย ก็อาจเป็นอุปสรรคต่อการติดตามเรื่องราวได้

 

ปิดฉากซีซั่น 3 ได้อย่างสมบูรณ์และทรงพลัง โดยสามารถคลี่คลายปมต่าง ๆ ได้อย่างมีเหตุผล ซีรีส์ทิ้งคำถามเชิงปรัชญาให้ผู้ชมคิดต่อในประเด็นเรื่องความหมายของชีวิต ความสูญเสีย และการยอมรับในสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ Dark คือซีรีส์ที่ไม่เหมาะสำหรับการดูเล่น ๆ แต่เหมาะสำหรับผู้ชมที่ชื่นชอบการวิเคราะห์ เรื่องราวที่ซับซ้อน มีปมลึก และต้องการสำรวจธรรมชาติของมนุษย์ในมิติเวลาอันบิดเบี้ยว ถ้าคุณชอบซีรีส์อย่าง Stranger Things, The OA หรือ Westworld คุณอาจจะหลงรัก “Dark” ในแบบที่ไม่เคยรู้ตัว

Scroll to Top