อนิเมะเรื่อง Blue Giant ภาพยนตร์ได้ผู้กำกับมากประสบการณ์อย่าง ทาชิคาวะ ยูซุรุ (Mob Psycho 100 และ Steins;Gate) มารับหน้าที่เป็นหัวเรือคนสำคัญในโปรเจกต์นี้ พร้อมกับได้นักแสดงอย่าง ยามาดะ ยูกิ (ดราเคน จาก Tokyo Revengers) มามิยะ โชทาโร่ (เท็ตตะ คิซากิ จาก Tokyo Revengers) และ โอกายามะ อามาเนะ (โชทาโร่ นากาอิ จาก A Hundred Flowers) มาให้เสียงพากย์แก่ตัวละครหลักทั้ง 3 คนภายในเรื่อง
ได มิยาโมโตะ นักเรียนมัธยมปลายอดีตนักบาสเก็ตบอล ผู้หลงไหลใฝ่ฝันดนตรีแจ๊สเขายืนหยัดเป่าแซ็กโซโฟนเพียงลำพังที่คาวาอาระยาวนานต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี ทุกวันทุกคืน ไม่ว่าจะฝนตกแดดออก ไครมาที่นี่ก็จะพบเขายืนเป้าแซ็กอยู่ตรงนั้น “วันหนึ่งฉันจะต้องเป็นนักดนตรีแซ็กโซโฟนมือหนึ่งของโลก…!!” ตำนานอันยิ่งใหญ่เริ่มต้นขึ้นที่แม่น้ำฮิโรเสะคาวะ จังหวัดเซนได…เขาถึงกับเดินทางออกมาจากบ้านเกิดเพื่อทำงานในไนท์คลับในโตเกียว แต่ชีวิตของนักดนตรีอาชีพก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด จนเมื่อเขาสามารถฟอร์มวงดนตรีแจ๊สสามชิ้นที่เอาชนะใจผู้ชมได้อย่างรวดเร็ว
ตัวอนิเมชั่นความยาว 2 ชั่วโมงเต็มจุกๆ ที่เล่าเรื่องราวตั้งแต่เล่ม 1 – จบภาค
โดยจะเล่าเรื่องของ ได ชายหนุ่มผู้มีความฝันจะเป็น นักเป่าแซกโซโฟนมือ 1 ของโลก เดินทางเขามาโตเกียวเพื่อตามฝัน และได้ฟอร์มทีมตั้งวง “JASS” ขึ้นมา และในตอนนี้ ก้าวแรกของพวกเขา ก็คือการทำให้คนยอมรับในฝีมือ และก้าวเข้าไปเล่นในผับใหญ่ที่สุด “So Blue” ที่ว่ากันว่าเป็น “โตเกียวโดมของวงการเพลงแจ๊ส”
การเดินเรื่อง จะเอื่อยๆ เนือยๆ เล่าช้าๆ Slow Burn ไปเรื่อยๆในพาร์ทจังหวะชีวิต ซึ่งสวนทางกับพาร์ทดนตรี ที่โคตรดุเดือด มันส์สะเด่าลำไส้ ทุกครั้งที่เพลงของกลุ่มตัวเอกบรรเลง ใครที่ชื่นชอบเพลงแจ๊สสไตล์ Free jazz หรือ Free Form เน้นการด้นสด หรือ Improvise ในพาร์ทโซโล่ มีหลังไม่ติดเบาะแน่ๆ
ซึ่งมาดู End Credit ก็ไม่ต้องแปลกใจเลย เพราะตัวภาพยนตร์ได้ทาง คุณ ฮิโรมิ อูเอฮารา มาดูแลงานเพลง และยังโซโล่เปียโนเองด้วย ทำให้จังหวะขึ้น Solo Improvise ของแต่ละเพลงในเรื่อง มันส์มากๆ จังหวะแซกโซโฟนขึ้นไฮโน้ตที่ลากยาวจนสุดเสียง / เปียโนท้ายเรื่องคือฟังรู้เลยว่าเล่นคีย์ต่ำรัวๆ แต่เอาคนดูอยู่สุดๆตอนโซโล่ / กลองในเรื่องจังหวะฉายแสง คือโม้จัดๆ ดุดันไม่เกรงใจใคน ไหนในเรื่องบอกว่าหัดเล่นดนตรีได้ 8 เดือน แถมยังผ่อนไม่หมดด้วย
20 นาทีสุดท้ายของภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นเหมือนศึกระหว่าง คนทำเพลง กับคนดูอย่างแท้จริง ทุกเรื่องราวที่ตึงดึงดราม่า ผสานกับการเล่นดนตรีที่เต็มไปด้วยข้อจำกัด และถ่ายทอดออกมาได้สุดพลัง
ซึ่งพอมารวมกับพาร์ทเนื้อเรื่องเนือยๆแล้ว ถือว่าโอเคมากๆเพราะถ้าเนื้อเรื่องเดือด เพลงเดือด คนดูอาจจะไม่ได้มีจังหวะได้พักหายใจ เดี๋ยวจะทำให้ 2 ชั่วโมง ดูเฝือ และล้นเกินไป
เหมือนที่ภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดหลายๆเรื่องชอบยัดเอามันส์ แล้วกลายเป็นว่าตึงทั้งเรื่องจนคนดูไม่เอนจอยกับสิ่งที่ต้องการสื่อไปซะอย่างนั้น…. เป็น ภาพยนตร์อนิเมชั่น เรื่องเยี่ยมที่แอดฯกล้ายกขึ้นแท่นเป็น Masterpiece ของปีนี้ได้อย่างไม่เคอะเขินครับ