หากคุณกำลังตามหา ซีรีส์เกาหลี ที่เข้มข้น ดาร์กถึงใจและเต็มไปด้วยบรรยากาศอันตรายของโลกอาชญากรรม Mercy For None คือคำตอบที่คุณไม่ควรพลาด ซีรีส์แนว ฟิล์มนัวร์ระทึกขวัญ เรื่องนี้สร้างประสบการณ์ใหม่ให้ผู้ชมด้วยการพาคุณดิ่งลึกสู่สงครามจิตวิทยาระหว่างสองแก๊งใหญ่ โดยที่ทุกอย่างเริ่มต้นจากคำสัญญาเก่าและการหักหลังที่ไม่มีวันลบเลือน
แต่การเล่าเรื่องที่เร็วเกินไปในตอนแรก กลับกลายเป็นข้อเสียสำคัญ เพราะขาดการปูบริบทและรายละเอียดจนผู้ชมต้องงุนงงกับสายสัมพันธ์และเหตุผลเบื้องหลังของแต่ละตัวละคร ใครเป็นใคร ใครอยู่ฝั่งไหน กลายเป็นโจทย์ที่ต้องตีความเอง ขณะเดียวกัน นี่คือเสน่ห์ของ Mercy For None ที่ค่อย ๆ เปิดเผยชั้นความซับซ้อนให้ค้นหา
เรื่องย่อ Mercy For None (ดับแค้นไร้ปรานี)
ดับแค้นไร้ปรานี เปิดฉากด้วยความขัดแย้งระหว่างสองตระกูลใหญ่ในโลกอาชญากรรมเกาหลี Juwoon Group ที่นำโดย Lee Ju-woon (รับบทโดย Huh Joon-ho) และ Bongsan Group ที่มีหัวหน้าเป็น Ahn Kil-kang ในบท Gu Bong-san
การเจรจาแรกของทั้งคู่เกิดขึ้นเพราะ Gu Bong-san ต้องการให้ Lee Ju-woon ช่วยเหลือลูกชายตัวเองคือ Gu Jun-mo (Gong Myoung) ที่ไปก่อปัญหาเอาไว้ แลกกับการช่วยเคลียร์คดีอสังหาริมทรัพย์ของ Juwoon ฝ่าย Juwoon จึงมอบหมายให้อันดับสองขององค์กรคือ Nam Gi-seok (Lee Jun-hyuk) เป็นคนจัดการ แต่ลึก ๆ แล้ว Gi-seok กลับอยากจะถอนตัวออกจากวงการอาชญากรรมเสียเอง
ความสัมพันธ์ของ Nam Gi-seok กับ Nam Gi-joon (So Ji-seob) พี่ชายที่เคยอยู่ในแก๊ง Bongsan Group และมีอดีตฝังใจจากเหตุการณ์บาดเจ็บร้ายแรง กลายเป็นจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรม เมื่อ Gi-seok กลายเป็นเหยื่อของการลอบทำร้ายจากกลุ่มวัยรุ่นนิรนาม ท้ายที่สุดเขาต้องจบชีวิตลงอย่างโหดเหี้ยม
Nam Gi-joon ที่ใช้ชีวิตสงบสุขในป่ากลับถูกดึงเข้าสู่วังวนแค้นอีกครั้ง เมื่อพี่ชายถูกฆ่า พร้อมกับสัญญาเก่าเมื่อ 11 ปีก่อนที่ไม่ได้รับการรักษา ขณะที่ตัวละครอื่น ๆ อย่าง Lee Geum-son (Choi Won-young) ลูกชายของ Ju-woon ซึ่งปัจจุบันเป็นอัยการ ก็เข้ามามีบทบาทในความขัดแย้งระหว่างครอบครัวและหน้าที่การงาน
Mercy For None ทำให้ผู้ชมต้องลุ้นระทึกและดื่มด่ำกับบรรยากาศดิบๆ ของโลกมาเฟียที่เต็มไปด้วยความรุนแรง การทรยศ และเกมอำนาจ แต่สิ่งที่ขาดหายไปในตอนแรก คือการปูเรื่องและอธิบายสายสัมพันธ์ต่าง ๆ ให้กระจ่าง เหลือเพียงกราฟิกและชื่อเท่านั้นที่ช่วยบอก “ใครเป็นใคร” ผลคือคนดูต้องตีความกันเอง ท่ามกลางชายชุดสูทสีดำหน้าตาจริงจังที่ผ่านไปมา
อย่างไรก็ตาม จุดแข็งของซีรีส์นี้อยู่ที่การแสดงของนักแสดงหลัก การบังคับอารมณ์และซีนบู๊มือเปล่าแบบดิบ ๆ ทำให้ผู้ชมสัมผัสได้ถึง “เดิมพันชีวิต” ในแต่ละฉากโดยไม่ต้องมีคำพูดฟุ่มเฟือย ฉากต่อสู้ที่จัดวางอย่างมีชั้นเชิง กลายเป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่ดึงคนดูให้ติดตามต่อเนื่อง