สำหรับการ์ตูนเรื่อง The Super Mario Bros คือการนำเอาเกมคลาสสิกของ Nintendo มาสร้างสรรค์เป็นแอนิเมชันสุดอลังการ โดยผลงานนี้เป็นการร่วมมือกันระหว่าง Nintendo และ Illumination ผู้สร้าง Despicable Me และ Minions ทำให้ตัวหนังมีกลิ่นอายของความน่ารัก สนุกสนาน และภาพที่สดใส ดึงดูดทั้งเด็กและแฟนเกมยุค 90s ได้อย่างลงตัว
เริ่มต้นจากโลกจริงในนิวยอร์ก ที่มาริโอและลุยจิทำงานเป็นช่างประปา แต่กลับถูกดูดเข้าไปในอีกโลกหนึ่งที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์และสิ่งมีชีวิตแปลกตา ลุยจิหลงไปยังอาณาจักรมืดของ Bowser ส่วนมาริโอก็ได้พบกับเจ้าหญิงพีชและคอยหาทางช่วยลุยจิออกมา พร้อมกับร่วมมือกันหยุดแผนการครองโลกของ Bowser สิ่งที่โดดเด่นที่สุดในหนังเรื่องนี้คือ “ความเคารพต้นฉบับ” ทีมผู้สร้างเก็บรายละเอียดจากเกมมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นดนตรีประกอบที่คุ้นหู ฉากคัดลอกจากด่านในเกม การใช้ไอเท็มอย่างเห็ดเพิ่มพลัง ดาวอมตะ หรือท่ากระโดดของมาริโอที่ถอดแบบมาจากในเกมอย่างแม่นยำ ทั้งหมดนี้ทำให้แฟนเกมรู้สึก “อบอุ่นหัวใจ” เหมือนได้ย้อนวัยเด็ก
อีกจุดแข็งคืองานภาพและแอนิเมชันที่ทำออกมาได้ตระการตา สีสันจัดจ้าน สไตล์การออกแบบโลกต่างๆ ชวนให้หลงใหล โดยเฉพาะฉากแข่งรถในสายรุ้ง Rainbow Road ที่ได้แรงบันดาลใจจาก Mario Kart ก็ทำออกมาได้มันส์สุดๆ นักพากย์ภาษาอังกฤษนำโดย Chris Pratt (เสียงมาริโอ), Anya Taylor-Joy (เจ้าหญิงพีช), Jack Black (บาวเซอร์) และ Charlie Day (ลุยจิ) ซึ่งแต่ละคนถ่ายทอดคาแรกเตอร์ได้อย่างดี Jack Black โดยเฉพาะสร้างสีสันให้ Bowser มีความเป็นตัวร้ายขี้เล่น และยังร้องเพลง “Peaches” ที่กลายเป็นไวรัลทั่วโลกอีกด้วย เจ้าหญิงพีชในเวอร์ชันนี้ก็เป็นตัวละครที่แสดงถึงพลังหญิงชัดเจน ไม่ใช่เพียงเจ้าหญิงผู้รอให้ช่วย แต่เป็นผู้นำที่กล้าหาญและวางแผนช่วยอาณาจักรได้อย่างชาญฉลาด
แม้จะสนุก แต่หนังเน้นแฟนเกมเป็นหลัก ผู้ชมที่ไม่คุ้นเคยกับ Super Mario อาจไม่เข้าใจบางมุก หรือมองว่าพล็อตค่อนข้างเรียบง่าย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะหนังมีเป้าหมายในการมอบความบันเทิงแบบเบาสมองมากกว่าจะเล่าเรื่องลึกซึ้ง และเรื่อง The Super Mario Bros Movie คือความสำเร็จในการดัดแปลงเกมระดับตำนานให้กลายเป็นแอนิเมชันที่สดใส เต็มไปด้วยพลังแห่งความสุข เหมาะทั้งกับเด็ก ผู้ใหญ่ และแฟนเกมยุคเก่า ใครที่เติบโตมากับมาริโอ จะยิ้มได้ทุกนาทีที่ดูเรื่องนี้