หนัง (5)

รีวิวหนัง แต่ง Monk ไอเดียเพลินใช้ได้ พระไทย ปะทะ พระญี่ปุ่น ถึงจะลูกกวาดไปนิด

      นับว่าเป็นอีกครั้งที่หนังไทยยังคงหยิบเอาคาแรกเตอร์พระสงฆ์มาขึ้นจอใหญ่ด้วยเอกลักษณ์ที่ชัดเจน เป็นเหมือนไอเท็มชั้นยอดที่เหมาะกับการมาหยอดใส่คอนเทนท์เชิงสอดแทรกหลักคำสอน ที่ครั้งนี้มาแปลกหน่อย ๆ ใน แต่ง Monk Will You Marry Monk ที่ค่อนข้างมีไอเดียที่ขัดต่อพุทธศาสนาไปสักหน่อย แต่ทุกอย่างก็มีเหตุผลของมันอย่างลงตัวเมื่อ พระ ต้องห้าม พระ แต่งงาน หลวงพี่เป้ พระสุดเคร่งในพระธรรมวินัย พยายามหาทาง เพื่อหยุดการแต่งงานของ ออม น้องสาวคนเดียว ที่กำลังจะแต่งงานกับ พระชิน พระญี่ปุ่น ที่ทั้งดื่มเบียร์เที่ยวผับ แถมยังจะมาขอน้องสาวพระไทยแต่งงาน! ถึงจะนับถือศรัทธาในศาสนาเดียวกัน แต่หลักปฏิบัติกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง งานนี้จึงอลเวงข้ามประเทศโดยหนังนี้เป็นการร่วมด้วยประกอบร่างด้วยน้ำมือของ 3 ผู้กำกับ ที่นำโดย อุ้ย-วรวุฒิ ถวิลวิศิษฎ์วิฒน์, วีรวัฒน์ ชโยชัยกร มือเขียนบทหนัง มานะแมน และ อีเรียมซิ่ง และนักแสดงและนักสร้างหนังรุ่นใหญ่ “แฉะ-องอาจ เจียมเจริญพรกุล” (จาก ธี่หยด ทั้ง 2 ภาค) อีกทั้งยังได้ 5 บริษัทโปรดักชันหนังมาจับมือกันร่วมสร้าง ออกมาเป็นคอนเทนท์หนังตลกไทยที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรโดดเด่น แต่ก็สร้างความแตกต่างได้ในบางแง่มุมอย่างคาดไม่ถึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เป็นหนังที่มีไอเดียคอนเซ็ปต์ที่ค่อนข้างน่าพอใจ กับท็อปปิกหลักของหนังที่ชูจุดขายว่า ถ้าจะแต่งงานกับพระได้ยังไง? เป็นคำถามปลายเปิดที่เชิญชวนชาวพุทธได้ดีในระดับหนึ่ง โดยเนื้อแท้ของหนังเรื่องนี้ก็ใช้องค์ประกอบเรื่องราวมาปั้นเป็นบทหนังที่ค่อนข้างน่าสนใจ แน่นอนว่าต้องแตะต้องเกี่ยวกับพุทธศาสนาอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่หนังมีลูกเล่นเป็นการจับศาสนาพุทธที่ต่างนิกายและพลังศรัทธามาใช้ในการร้อยเรียง

      ถึงแม้ว่าในส่วนของบทหนังเรื่องนี้จะไม่ได้มีอะไรที่ขันแข็งสักเท่าไหร่ บทยังเต็มไปด้วยช่องโหว่และจุดบกพร่องเต็มไปหมด แต่อย่างน้อย ๆ จะมีไอเดียที่แข็งแกรงเพียงพอที่จะพอหล่อเลี้ยงคอนเทนท์นี้ไปด้วยความบันเทิง ด้วยจังหวะ มุกตลกโปกฮา ของตัวละครเสริมที่ใส่เข้ามาเพื่อเบรกซีนโดยแท้ แต่หนังก็ไม่ลืมเส้นเรื่องหลัก ที่อาจจะค่อนข้างเจือจางและไร้มิติไปบ้าง แต่ความกระท่อนกระแท่นเล่านั้นก็ยังหวนกลับมาจบได้กลมกลมกำลังพอดีทางด้านโปรดักชันงานสร้าง แต่ง Monk น่าจะใช้พื้นที่ถ่ายทำหลัก ๆ ในประเทศญี่ปุ่นเกินกว่าครึ่งเรื่อง แต่การทำงานต่างถิ่นต่างแดนในหนังเรื่องนี้ไร้ปัญหาอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นว่าหนังถ่ายทอดด้วยการใช้พื้นที่ใหม่ ๆ ที่ไม่ค่อยเห็นนำเสนอในหนังไทยเท่าไหร่ หรือแม้แต่หนังญี่ปุ่นเองก็ไม่ค่อยเห็น และสามารถใช้ทรัพยากรที่มีอย่างจำกัดได้อย่างคุ้มค่า โลเคชันอาจจะไม่เยอะแต่ก็ใช้ได้กำลังพอดีขณะที่มุมภาพและมุมกล้อง รวมทั้งจังหวะการตัดต่อเล่าเรื่องนี้ในหนังเรื่องนี้ อาจจะยังขาดเสน่ห์ไปสักหน่อย เพราะไป ๆ มา ๆ ก็ให้อารมณ์เหมือนหนังดูซีรีส์มากกว่า เพราะการร้อยเรียงเรื่องราวในสตอรี่ของหนังแทบไม่ออกนอกลู่นอกทางเลยสักนิด การตัดต่ออาจยังมีความไม่คมในบางจุด รวมทั้งซีเควนท์ในการลำดับภาพและการใช้เทคนิคพิเศษเข้ามาช่วย อาจจะยังไม่แนบเนียนมาก แต่ก็ไม่ใช่จุดด้อยที่โดดเด่นอะไร

     และแน่นอนว่าทีมนักแสดงของหนังเรื่องก็คือไฮไลต์ที่ช่วยชีวิตหนังเรื่องนี้เอาไว้ได้อย่างเหลือเชื่อ เป้ อารักษ์ ที่ต้องการมองหาบทบาทที่แปลกใหม่สำหรับเขา ก็เลยมาเป็นพระได้อย่างสมบทบาทไปเสียเลย ถือว่าเป็นบทที่เขาทำได้ผ่านฉลุยด้วยดี แม้จังหวะการแสดงอาจจะมีข้อจำกัดในความสำรวมระหว่างการสวมสงบอยู่เป็นหลัก แต่เขาเป็นแสดงให้เห็นว่าลีลาการแสดงคอมเมดี้ของเขาก็ยังเวิร์กดีอยู่ ถึงจะห่างหายจากบทแนว ๆ นี้ไปสักพักแล้วเฟย ภัทร ค่อนข้างมอบการแสดงที่เหนือความคาดหมายไปสักหน่อย กับการวาดลีลาการแสดงติดสำเนียงพูดไทยแบบญี่ปุ่น ที่ไม่ใช่แค่เพียงการพูดแบบติดตลก แต่เขาสามารถเก็บรายละเอียดในภาษาได้น่าเหลือเชื่อ และยังมีบทที่ต้องพูดภาษาญี่ปุ่นที่คล่องปากกว่าที่คิด ถึงแม้มิติในบทที่เขาได้รับนั้นจะแทบไม่มีอะไรซับซ้อนเท่าไหร่เลยก็ตาม เช่นเดียวกับ “ออม กรณ์นภัส” ที่ได้เล่นหนังเรื่องแรกในเรื่องนี้ ซีนอาจจะไม่ได้มีเยอะเท่าไหร่ แต่เสน่ห์มาเต็มและ 3 ตัวละครแย่งซีนที่ช่วยรับหน้าที่แบกหนังทั้งเรื่องได้อย่างขันแข็ง ก็คือ “จาตุรงค์ พลบูรณ์”, “แจ็ค เฉลิมพล” และ “โอม ธนาภัค” ก็มาเป็นตัวโจ๊กในการเบรกซีนต่าง ๆ ด้วยมุกขบขัน ที่มีทั้งมุกที่ตลกโปกฮาและมุกที่ยังไม่เวิร์กปะปนกันไป แต่โดยภาพรวมแล้ว ถือว่าพวกเขาช่วยพยุงหนังเรื่องนี้เอาไว้ได้ด้วยดีไม่น้อยหน้านักแสดงนำทั้ง 3 คนข้างต้น ถือว่าเป็นสีสันที่พึงมีในโหมดหนังไทยทั่วไป

 

 

Scroll to Top