วังวนแสนยั่ว…ยัยลูกคุณหนูกับบอดี้การ์ดหนุ่มใจร้าวถ้าหากว่าคุณยังไม่เบื่อที่บริโภคคอนเทนท์ยั่วยวนกลิ่นอายอีโรติกติดเรทหน่อยๆ จากฝั่งยุโรปแล้วละก็ ได้เวลามาดื่มด่ำกับอีกหนึ่งรสชาติของความสัมพันธ์สุดแสนจะน้ำเน่าจากสเปนใน Bad Influence วัยรักอันตราย หนังโรแมนซ์ระทึกขวัญกับความสัมพันธ์ระหว่างต่างชนชั้นของลูกสาวมหาเศรษฐีกับบอดี้การ์ดหนุ่มใจแตก ก่อเกิดเป็นความลึกซึ้งที่ไม่อาจจะคาดคิดได้ เอรอส เด็กหนุ่มกำพร้าวัยคะนองที่ได้รับโอกาสให้ออกมาจากทัณฑสถานก่อนกำหนด เพราะได้รับการว่าจ้างจากมหาเศรษฐีให้มาช่วยปกป้องคุ้มครองลูกสาวของเขา รีซ ที่พบว่าเธอคนนั้นกำลังตกเป็นเป้าหมายของผู้ไม่หวังดีและมักจะตกอยู่ในความเสี่ยงเสมอ ทำให้เขาต้องแทรกซึมเข้ามาอยู่ในชีวิตของเธอ เพื่อเฝ้าดูเธอทุกย่างก้าว แต่ทว่าหนุ่มสาววัยฮอร์โมนพลุ่งพล่านที่ใกล้ชิดกัน ได้ก่อกำเนิดเป็นความสัมพันธ์ที่ถลำลึกในแบบที่พวกเขาเองก็มิอาจจะหักห้ามใจได้
Bad Influence ก็ไม่ต่างกับพวกหนังรักอีโรติกที่มีส่วนผสมของหนังแนว ๆ มาหลายเรื่อง นำมาปรุงแต่งออกมาเป็นเรื่องใหม่ มีกลิ่นอายความลึกลับในปมต่างๆ แบบ Fifty Shades of Grey บรรยากาศรักเกินห้ามใจวัยทีนเหมือนในหนัง My Fault หรือความรักแตกต่างทางชนชั้น อย่าง Through My Window แต่ใด ๆ แล้วหนังเรื่องนี้กลับไม่สามารถจับประเด็นและสร้างสตอรี่ที่แข็งแรงได้เท่ากับหนังที่กล่าวถึงข้างต้นได้เลยสักนิด แม้ว่ากลุ่มหนังเหล่านั้นก็ใช่ว่าจะเป็นหนังดีเลิศอะไรโดยหนังได้ผู้กำกับหญิง โคลอี้ วอลเลซ มารับหน้าที่สร้างและร่วมเขียนบทด้วย นั่นจึงเป็นการสะท้อนในงานสร้างที่ดีจากมุมมองนักสร้างผู้หญิง ที่แม้ว่าจะเป็นหนังรักอีโรติก แต่หนังไม่ได้ต้องการที่สื่อสารมุมมองต่าง ๆ ออกมาได้ในลักษณะอนาจารแบบถึงพริกถึงขิงอะไรทำนองนั้น ผู้กำกับคนนี้ใช้ความละเมียดละไมร้อยเรียงหนังออกมาด้วยการใช้ศิลปะเป็นแกนหลัก ที่ทำให้ภาพต่าง ๆ ออกมาเป็นหนังที่มีกลิ่นอายความโรแมนซ์ในความสัมพันธ์ที่ไม่หวือหวาเกินไป
แต่จุดอ่อนที่สุดของ Bad Influence ก็คือบทหนัง ที่นั่งดูผ่านไปครึ่งเรื่องแล้วก็ยังไม่สามารถหาความสมเหตุสมผลในแกนเรื่องได้เลย การประกอบร่างของบทหนังเรื่องนี้ค่อนข้างสะเปะสะปะและไร้เสน่ห์อย่างสิ้นเชิง หนังอยากจะพัฒนาการระหว่างตัวละครหลักให้โดดเด่น แต่ทว่าแทบไม่มีอะไรที่เชื่อมพวกเขาให้เข้าสู่จุดที่ปะติดกันได้อย่างแยบยล กลายเป็นบทพระนางที่เต็มไปด้วยความยั่งเชิงเต็มไปหมดขณะเดียวกัน ทั้งพล็อตหลักและพล็อตรองของหนังเรื่องนี้ก็แทบจะไม่มีน้ำหนักใด ๆ มาช่วยซัพพอร์ตได้เลย มีอยู่หลายครั้งที่หนังปูทางมาแล้ว แต่ก็เบี่ยงเลี้ยวไปสะเปะสะปะอยู่กับอีกประเด็นที่มักจะหลงทางอยู่บ่อยครั้ง เมื่อจะเลี้ยวกลับมาเส้นทางหลักก็เหมือนจะต้องมาคลำทางและเริ่มต้นใหม่อยู่บ่อย ๆ จนแทบจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูกสักทางเลย ยิ่งเข้าสู่ไคลแม็กซ์ก็กลายเป็นจุดที่ไร้เรี่ยวแรงอย่างขาดพลังทางด้านองค์ประกอบงานสร้างก็เป็นไปตามมาตรฐานหนังสเปนทั่วไป ไม่ได้มีอะไรพิเศษใด ๆ และบางครั้งจังหวะในการใส่เทคนิคงานสร้างก็ยังไม่เข้าที่เข้าทางมานัก โดยเฉพาะพวกซาวน์ดนตรีประกอบ ที่หยอดใส่เข้ามาแบบขึ้น ๆ ลง ๆ มาพร้อมกับท่วงทำนองเพลงสไตล์เดิมๆ ของหนังแนวนี้ แต่กลายเป็นรสนิยมเพลงที่ค่อนข้างซ้ำ ๆ เดิม ๆ ตามแบบฉบับหนังฝั่งยุโรปที่พึงมี
หนังยังมาพร้อมกับ 2 นักแสดงดาวรุ่งที่ชั่วโมงบินทางการแสดงอาจจะยังไม่เยอะอย่าง อัลเบอร์โต โอลโม กับ เอเลีย โรเชรา เคมีระหว่างพวกเขาเกือบจะเกิดประสิทธิภาพเปล่งประกายได้แล้วเชียว แต่ว่าด้วยบทหนังที่แทบไม่ส่งถึงคาแรกเตอร์ได้เลย ยิ่งทำให้การแสดงของพวกเขาไร้เสน่ห์และไร้มิติใด ๆ กลายเป็นคู่พระนางที่จืดชืดเป็นไปตามบทบาทที่จับวางเอาไว้ตามหมากโดยสรุปในภาพแล้วกลายเป็นหนังโรแมนซ์ระทึกขวัญที่ไม่มีจุดไหนที่ทำได้สุดสักทางเดียว ทิศทางยั่วยวนอีโรติกก็ร้อยเรียงไปได้ไม่ถึงสักนิดเดียวปมประเด็นของหนังก็อ่อนแอไร้ซึ่งน้ำหนักที่ไม่อาจจะสร้างความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะสร้างสมดุลให้กับหนังได้เลย สุดท้ายจึงกลายเป็นเพียงหนังที่เราก็ไม่อาจจะบอกได้ว่าอะไรคือจุดดีของเรื่องนี้ เพราะทุกๆ อย่างที่หนังใส่เข้ามา แทบจะสูญเปล่าไปทั้งหมดเมื่อเวลาทั้งหมดกว่า 100 นาทีได้ผ่านไป