ถึงแม้ว่าชื่อเสียงในปัจจุบันของเขาจะเลือนลางไปตามกาลเวลาและยุคสมัยที่เปลี่ยนไป แต่ผลงานของเขายังเป็นที่ประจักษ์ตลอดกาลของคอเพลง และนี่ก็คือบันเทิงคดีที่มาร้อยเรียงเล่าเรื่องชีวิตของเขา ร็อบบี้ วิลเลียมส์ นักร้องชื่อดังแห่งเกาะอังกฤษ กลายออกมาเป็นหนัง Better Man ที่กลายเป็นหนังชีวประวัตินักร้องดังที่ต่างจากเรื่องก่อน ๆ เพราะการนำเสนอที่แตกต่างและน่าดึงดูดด้วยแพสชันมาร่วมติดตามเส้นทางชีวิตของ ร็อบบี้ วิลเลียมส์ ไอคอนิกแบดบอยในตำนาน ตั้งแต่วัยเด็กสู่การเป็นสมาชิกที่อายุน้อยที่สุดของวงบอยแบนด์ชื่อดัง Take That และก้าวสู่ความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในฐานะศิลปินเดี่ยวที่ทำลายสถิติมากมาย พร้อมเผชิญกับความท้าทายที่มาพร้อมกับชื่อเสียงและความสำเร็จระดับโลกจากฝีมือของผู้กำกับหนังสายร่ำร้อง “ไมเคิล เกรซีย์” ที่เคยเปรี้ยงสุด ๆ จากหนังมิวสิคัล The Greatest Showman เมื่อไม่กี่ปีก่อน และครั้งนี้ก็มาพร้อมกับความท้าทายอีกรูปแบบในฐานะนักสร้างหนังของเขา ด้วยการหยิบเอาตำนานแบดบอยของอังกฤษมาขึ้นจอใหญ่ ในรูปแบบเชิงสัญลักษณ์ที่ต้องใช้ลิงชิมแปนซีเป็นตัวแทนตัวละครหลักตลอดทั้งเรื่อง ที่กลายเป็นความท้าทายและบ้าบอในการนำเสนอเป็นอย่างมาก
ไมเคิล เกรซีย์ ยังรับหน้าที่ร่วมเขียนบทหนังเรื่องนี้ ร่วมด้วย ไซมอน กลีสัน กับ โอลิเวอร์ โคล ที่ต่างก็เป็นนักแสดงที่ก้าวขึ้นมาเป็นมือใหม่ในงานเขียนบทหนัง แม้ว่าจะคลุกคลีอยู่กับการร้อยเรียงสตอรี่ชีวิตที่ร็อบบี้ วิลเลียมส์ เป็นที่ปรึกษาอย่างใกล้ชิดของหนังเรื่องนี้ ทำให้ได้เรื่องราวที่ถ่ายทอดออกมาค่อนข้างเก็บรายละเอียดเชิงลึกได้อย่างหมดจด ละเอียดมากกว่าหนังชีวประวัติคนดังที่อาจจะล่วงลับไปแล้วในบางเรื่อง พร้อมกับใส่อินเนอร์กับมุมมองบางอย่างที่เกินคาดและเกินจริง แต่ใส่ได้ในโลกของภาพยนตร์กลายออกมาเป็น Better Man หนังที่พยายามร้อยเรียงชีวิตบนคำถามของชายหนุ่มคนดังเจ้าเสน่ห์ผู้ที่เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนที่ดีเพียงพอสักครั้งตั้งแต่เกิน นี่อาจจะเป็นหนังที่สอดไส้ไปด้วยคำคมในการดำรงชีวิตอยู่เต็มไปหมด แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า หนังเรื่องนี้ใส่ความทะเยอทะยาน พร้อมกับจัดจ้านในแง่งานโปรดักชันเอาไว้ได้แบบทำถึง เพราะส่วนหนึ่งก็งบประมาณของหนังก็สูงถึงเช่นเดียวกันถึงแม้ว่าเราจะรู้สึกแปลก ๆ ที่ทำไมหนังเรื่องนี้ต้อใช้ลิงชิมแปนซีมาเป็นตัวแทนตัวละครร็อบบี้ วิลเลียมส์ กลายเป็นงานสร้างที่ต้องมาเพิ่มทุนในการทำซีจีและเทคนิคพิเศษเพิ่ม แทนที่จะใช้นักแสดงสวมบทบาทไปเลย แต่ก็นั่นแหละ จุดนี้ได้กลายเป็นไฮไลต์ที่น่าค้นหาที่สุดของหนังนั่นเอง เพราะภายใต้ภาพลักษณ์ที่เคลือบแคลงด้วยการใช้สัตว์ทดแทนนั้น ก็สามารถสะท้อนแนวคิดและการตีความของหนังไว้ได้เป็นนัยยะที่ดีอีกแบบหนึ่ง
องค์ประกอบงานสร้างและการตัดต่อว่าจัดจ้านแล้ว อีกหนึ่งองค์ที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ ก็คืองานประพันธ์เพลง ที่ ร็อบบี้ วิลเลียมส์ อีกนั่นแหละที่มานั่นเก้าอี้ควบคุมดูแลงานและคัดเลือกเพลงเพื่อนำมาประกอบในหนังที่เล่าถึงชีวิตของเขาด้วยตัวเอง ทำให้เราอิ่มเอมไปด้วยบทเพลงดัง ๆ จากเกาะอังกฤษแบบแน่น ๆ ล้วนแต่เป็นเพลงฮิตในช่วงยุค 80s หรือ 90s แบบเต็มเหนี่ยว ด้วยการนำมามิกซ์ใหม่ เสริมความเป็นมิวสิคัลที่ไม่ได้จัดจ้านมากนัก แต่กลมกล่อมกำลังพอดีและเพลงที่แต่งขึ้นมาใหม่ เพื่อประกอบหนังเรื่องนี้โดยเฉพาะ อย่าง Forbidden Road ก็จัดได้ว่าไพเราะช่วยประทับใจไม่น้อยเลย มาถึงในส่วนพาร์ททางการแสดง แม้ว่าหนังจะใช้บริการแต่นักแสดงฝั่งอังกฤษแบบล้วน ๆ และส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่ดาราที่คุ้นเคยในระดับท้องถิ่นมากกว่า ทำให้องค์ประกอบนี้ก็พอจะช่วยซัพพอร์ตตัวหนังเอาไว้ได้อย่างเหมาะเจาะและมั่นคงได้ดีตลอดทั้งเรื่องแต่บทหนังของหนังเรื่องนี้กลายเป็น จอนโน ดาวิส นักแสดงหนุ่มที่แทบจะไม่ได้เห็นหน้าตาเลยในหนังเรื่องนี้ เพราะเขาคือผู้ที่มาสวมบทเป็นร็อบนั่นเอง แต่ต้องทำการสวมใส่ชุดโมชัน แคปชัน ร่วมเข้าซีนเอาไว้ตลอดทั้งเรื่อง พร้อมกับให้เสียงพากย์อีกทีในภายหลัง แต่ใด ๆ ลท่วงท่าต่าง ๆ ที่ออกมานั้น ก็ล้วนแต่เป็นอินเนอร์าทางการแสดงของเขาล้วน ๆ อีกทั้งยังมี ร็อบบี้ วิลเลียมส์ ที่ไม่ได้มาร่วมแสดงด้วย แต่ยังทำหน้าที่ให้เสียงผู้บรรยายเรื่องราวชีวิตตัวเองตลอดเรื่องเช่นกัน