แล้วก็เดินทางมาถึงการปิดฉากปิดปฏิบัติการครั้งสำคัญ หลังจากที่ดำเนินเรื่องราวมายาวนานจะ 30 ปี มาสู่ภาคที่ 8 ใน Mission Impossible – The Final Reckoning มิชชัน อิมพอสซิเบิล ปิดปฏิบัติการล่าพิกัดมรณะ ไคลแม็กซ์ครั้งสำคัญของแฟรนไชส์หนังแอคชันระดับตำนานของฮอลลีวูด ที่หากว่าไม่แกงกันว่าจะเป็นตอนจบ นี่ก็คือบทสรุปที่ยิ่งใหญ่อลังการ พร้อมกับเซอร์วิสแฟน ๆ ได้แบบน้ำตาคลอและใจเต้นระรัวไปพร้อม ๆ กันหลังจากเอาตัวรอดจากเหตุการณ์อุบัติเหตุบนรถไฟครั้งใหญ่ อีธาน ฮันต์ ก็ได้รู้ว่า เดอะ เอนทิตี ถูกเก็บเอาไว้บนเรือดำนํ้าเก่าของรัสเซียที่จมอยู่ก้นมหาสมุทรลึก แต่ศัตรูตัวฉกาจจากเมื่ออดีตของเขาที่มีชื่อว่า เกเบรียล ก็ตามรอยมันอยู่ด้วยเช่นกัน นี่จึงกลายเป็นปฏิบัติการครั้งสำคัญของเขา ที่แบกเดิมพันความหวังของมวลมนุษยชาติเอาไว้เป็นอีกภาคที่ “คริสโตเฟอร์ แมคควอรี” มานั่งเก้าอี้คุมบังเหียนดูแลงานสร้าง เพราะหนังภาคนี้เป็นการถ่ายทำแบบต่อเนื่องจากภาคที่แล้ว แม้ว่ามันจะเป็นหนังที่ทำให้สตูดิโอหนังปาดเหงื่อไม่น้อย เพราะทุนสร้างค่อนข้างบานปลายทะลุหลัก 400 ล้านเหรียญไปแล้ว แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลายเป็นการปิดฉากที่ทำได้ทำถึง พร้อมกับยังเซอร์วิสแฟน ๆ ได้อย่างหนักหน่วง และทะลวงเข้าไปถึงเบื้องลึกของหัวใจของผู้ชมได้สุดว้าว
พูดตรง ๆ ว่าไฮไลต์ของหนังเรื่องนี้ก็ยังโดดเด่นในซีน แอคชัน ที่ยังสุดจัดอีกเช่นเคย ถึงมันจะไม่ค่อยแปลกใหม่จากภาคก่อนหน้านี้สักเท่าไหร่ก็ตาม แต่ทุก ๆ องค์ประกอบที่ใส่เข้ามาในภาคนี้ก็ยังจัดได้ว่าทำได้ถึงและตราตรึงใจแฟน ๆ ได้เป็นอย่างดี กลายเป็นการสร้างประสบการณ์การดูหนังในโรงภาพยนตร์ที่ชวนลุ้น ชวนตื่นเต้น และเผลอ ๆ ยังทำให้อัตราการเต้นหัวใจระหว่างการชมแบบไม่รู้ตัว เพราะหนังปลุกเร้าอารมณ์ได้ดีจริง ๆในแง่ของบทหนัง Mission: Impossible – The Final Reckoning อาจจะยังไม่บทที่กลมกล่อมอะไรสักเท่าไหร่ เพราะเป็นภาคที่เหมือนเป็นบทสรุป ปฏิเสธไม่ได้ว่าแฟรนไชส์หนัง Mission: Impossible ที่ดำเนินเรื่องราวมายาวนานถึง 8 ภาคแล้ว แต่ว่าในแง่ความหนักแน่นของสตอรีหนังอาจจะไม่ลึกซึ้งมากนัก เพราะเอาจริง ๆ นี่คือหนังชุดที่เราเองก็แทบจะจำเรื่องราวที่ผ่านมาแทบไม่ได้แล้ว เมื่อทุก ๆ องคประกอบที่ผ่านมาถูกนำมาผูกและโยงเข้ากับภาคนี้ น้ำหนักของมันจึงยังไม่สามารถทำให้อินได้ในระดับนั้น
ลีลาการเล่าเรื่องใน Mission: Impossible – The Final Reckoning ก็ยังคงสไตล์ของหนังได้ดี ภาคนี้อาจจะค่อนข้างย้วยและยานไปสักหน่อย ด้วยความยาวของหนังระดับ 2 ชั่วโมง 40 นาทีขึ้นไป มาพร้อมกับชั่วโมงแรกที่เป็นการปูเรื่องราวที่ยาวเหยียด แต่ก็สามารถสร้างความประทับใจดีในชั่วโมงถัดมากับภารกิจที่ชวนหยุดใจ แล้วมาม้วนจบได้อย่างสง่างามกับภาพเล่าเรื่องในช่วงโค้งสุดท้ายที่จัดจ้านของจริงจะไม่ชมก็คงไม่ได้ งานออกแบบฉากสตันท์และฉากผาดโผนต่าง ๆ ของภาคนี้ก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องยกนิ้วและลุกขึ้นยืนปรบมือให้ มันจะมีหนังฮอลลีวูดสมัยนี้เรื่องไหนอีกที่กล้าบ้าดีเดือดทำอะไรเสี่ยง ๆ แบบนี้ เพื่อให้ได้มาด้วยซีเควนท์งานบู๊ที่สมจริงและเปี่ยมล้นไปด้วยคุณภาพคับจอ ไหนจะผนวกเข้ากับงานออกแบบศิลป์ มุมภาพมุมกล้องต่าง ๆ รวมทั้งเพลงบรรเลงประกอบในหนังที่ช่วยปลุกเร้าอารมณ์ผู้ชมได้ดีตลอดทั้งเรื่อง นับว่าเป็นองคประกอบมี่ทรงคุณค่าและลงตัวได้เป็นอย่างดี