ถ้าคุณคิดว่าเคยดูหนังแปลกมาเยอะแล้วรอก่อน Poor Things จะพาคุณหลุดเข้าไปอีกโลกที่ไม่เคยมีใครบอกว่าโลกนี้ควรมีอยู่จริง แต่กลับน่าติดตามแบบวางตาไม่ได้เลยสักวินาที หนังเรื่องนี้กำกับโดย Yorgos Lanthimos ผู้กำกับสายอินดี้จอมปั่นสมองจาก “The Lobster” และ “The Favourite” กลับมาคราวนี้เขาพาเราดำดิ่งเข้าสู่เรื่องราวสุดหลุดโลกของหญิงสาวนามว่า เบลล่า แบ็กซ์เตอร์ (รับบทโดย Emma Stone) หญิงสาวที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ด้วยสมองของเด็กทารก! ใช่แล้ว คุณอ่านไม่ผิด สมองของเธอยังใสปิ๊งแบบเด็กอ่อน แต่อยู่ในร่างหญิงสาวเต็มวัยที่เริ่มค้นหาความเป็นตัวตนของตัวเองอย่างอิสระที่สุดเท่าที่จะจินตนาการได้
ตั้งแต่ต้นเรื่อง เราจะได้เห็นการใช้ชีวิตของเบลล่ากับนักวิทยาศาสตร์คลั่งอย่าง Dr. Godwin Baxter (Willem Dafoe) ที่ราวกับหลุดมาจากโลกสตีมพังก์ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่คือจุดเริ่มต้นของความแปลกประหลาด แต่แฝงไปด้วยความอบอุ่นปนเสียดสีสังคมอย่างเจ็บแสบ เมื่อเบลล่าได้โอกาสออกเดินทางไปค้นหาตัวเองทั่วโลกกับนักกฎหมายเจ้าเล่ห์ (Mark Ruffalo) หนังเริ่มทวีความเพี้ยน ความฮา และความปั่นป่วนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ทุกเมืองที่เธอไป ทุกคนที่เธอพบ เหมือนเป็นกระจกสะท้อนว่า “ความปกติ” ของโลกเรามันบิดเบี้ยวขนาดไหนกันแน่
สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือ การแสดงของ Emma Stone ที่พลิกบทบาทไปสุดทาง เธอไม่กลัวที่จะเปลือยทุกอย่าง ไม่ใช่แค่ร่างกาย แต่คือจิตใจและอารมณ์ดิบที่แสดงออกแบบ “ไม่ผ่านการขัดเกลา” เหมือนสมองเด็กที่กำลังเรียนรู้ชีวิตใหม่ มันสด สดแบบสดจริงๆ และทรงพลังแบบไม่มีใครเหมือน ด้านงานภาพต้องยกนิ้วให้แบบไม่หัก! หนังถ่ายทำด้วยโทนสีพาสเทลจัดจ้าน เน้นแสงสว่างจัดๆ ตัดกับธีมดาร์กของเรื่องอย่างลงตัว เหมือนอยู่ในโลกที่ทั้งฝันและฝันร้ายในเวลาเดียวกัน การออกแบบฉาก เสื้อผ้า และทุกองค์ประกอบศิลป์ ล้วนพูดได้เต็มปากว่าหลุดโลก แต่เป๊ะเวอร์
แม้จะดูเหมือนหนังแฟนตาซีสายเพี้ยน แต่แท้จริงแล้ว Poor Things คือการสะท้อนคำถามลึกๆ เกี่ยวกับเพศเสรี ภาวะทางจิตวิญญาณ อิสรภาพของผู้หญิง และการเติบโตที่ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร หนังกล้าเล่า กล้าชน และกล้าถามแบบที่หนังฮอลลีวูดน้อยเรื่องจะกล้าทำ เป็นหนังที่บ้าแต่บ้าแบบมีศิลปะ บ้าแบบมีความหมาย และบ้าแบบน่าหลงรัก ถ้าคุณเบื่อสูตรสำเร็จของหนังทั่วไป นี่คือประสบการณ์แปลกใหม่ที่จะทำให้คุณหัวเราะ หลอน ซึ้ง และอึ้งในเวลาเดียวกัน