หนึ่งในเกมการแข่งขันที่ดุเดือดและได้รับความนิยมไม่น้อยในเกาหลี อย่าง เกมบาดุก, เกมโกะ หรือ หมากล้อม ที่นับว่าเป็นอีกหนึ่งเกมที่ได้ยกระดับจากกิจกรรมอดิเรกมาเป็นการแข่งขันที่พัฒนาสร้างแชมป์และเซียนได้อย่างต่อเนื่อง และนี่ก็คือการตีแผ่ตำนานเซียนหมากล้อมที่ยิ่งใหญ่ของเกาหลีทั้งสองคน ออกมาเป็น The Match เดอะ แมตช์ ที่วาดลวดลายการกำเนิดของ 2 เซียนหมากล้อมผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนกิมจิ เรื่องราวและเส้นทางสู่การเป็นเซียนระหว่างศิษย์กับอาจารย์หมากล้อมในตำนานของเกาหลี อย่าง โชฮันฮยอน กับ อีชางโฮ พวกเขาทั้งคู่ที่ได้ชื่อว่าเป็นโปรสุดยิ่งใหญ่ที่มีการจารึกเอาไว้ในวงการหมากล้อมของโลก การผลักดันและปลุกปั้นที่นำมาสู่การเป็นคู่ต่อสู้ในเกมบนกระดานที่เต็มไปด้วยชั้นเชิงไหวพริบ ที่ผนวกเข้ากับแรงกดดันมหาศาล ที่นำพาทั้งคู่ไปสู่ห้วงแห่งศักดิ์ศรีที่ดุเดือดที่สุดเท่าที่เคยมีมา
หมากล้อม อาจจะเป็นเกมที่บางคนมองว่าเป็นการแข่งขันที่เงียบงันและไร้เสน่ห์ เป็นแค่เพียงการชิงไหวพริบเดินเกมระหว่างแค่คนสองคน แต่จริง ๆ แล้วรายละเอียดในการเดินหมากแต่ละตัวต้องพาการคิดวิเคราะห์อย่างครอบคลุม ยิ่งมีศักดิ์ศรีความเป็นเซียนค้ำคออยู่ ยิ่งต้องแบกรับสถานการณ์กดดันอยู่หน้ากระตานตรงหน้า นั่นจึงกลายเป็นเสน่ห์อันท้าทายของเกมหมากล้อม ที่ภายนอกอาจจะดูน่าเบื่อ แต่ก็รายล้อมไปด้วยสิ่งที่น่าค้นหามากมายเช่นกัน
นี่คือผลงานการกำกับและเขียนบทของ คิมฮยองจู นักสร้างหนังหน้าใหม่ที่อาจจะยังไม่มีชิ้นงานที่โดดเด่นเท่าไหร่นัก แต่ได้ก้าวขึ้นมาหยิบจับงานสร้างผลงานชิ้นใหญ่เรื่องนี้เลย ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคนิคและองค์ประกอบงานสร้างใน The Match อาจจะไม่ได้มีอะไรที่แปลกใหม่นัก หนังยังวนไปใช้สูตรความสำเร็จตามสไตล์หนังเกาหลีลักษณะนี้ที่ต้องยอมรับว่า วงการหนังเกาหลียังเก็บรายละเอียดงานสร้างได้ค่อนข้างน่าพอใจแต่ต้องยอมรับว่า The Match มีสตอรี่และเรื่องราวที่ค่อนข้างส่งเสริมตัวหนังได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว เพราะความทรงพลังของเกมการแข่งขันระหว่างครูกับศิษย์ นับว่าเป็นการเดินหมากสร้างประเด็นในหนังให้รู้สึกหนักแน่นขึ้นได้ดีขึ้น โดยหนังยังได้ “ยุนจงบิน” มือเขียนบทจากหนัง The Spy Gone North มาช่วยขัดเกลาตัวบทหนังด้วย ยิ่งเพิ่มมิติและชั้นเชิงดรามาแห่งเกมบนกระดานได้อย่างมั่งคงยิ่งขึ้นอันที่จริงแล้ว หนังเรื่องนี้ค่อนข้างอยู่ในโหลดองนานไปสักนิด เพราะหนังถ่ายทำเสร็จสิ้นไปตั้งแต่ปี 2021 และอันที่จริงควรจะได้ฉายตั้งแต่ 2-3 ปีที่แล้ว แต่เพราะต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคในปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ ที่รุมเร้า ทำให้กว่าจะได้เข้าฉายก็ต้องใช้เวลาอยู่สักพัก เมื่อปล่อยให้ผลงานถูกดองนานเข้า ก็ทำให้คุณภาพและความสดใหม่ของหนังลดหลั่งไปตาม ๆ กันด้วย แต่ความล่าช้าก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของหนังใด ๆ
โดยที่ความล่าช้าส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะว่าประเด็นอื้อฉาวดรามาของนักแสดงนำ ยูอาอิน ที่ต้องเผชิญหน้ากับคดีความที่ต้องต่อสู้และถูกแบนจากวงการบันเทิงในตอนนี้ นั่นทำให้หนังเรื่องนี้ต้องชะลอการเข้าฉายและต้องมีการปรับแก้ตัดต่อตัวหนังใหม่ ที่กลายเป็นว่าต้องลดโทนความโดดเด่นในบทของยูอาอินลง และผลักดันให้หนังมีจุดขายเป็นนักแสดงนำเพียงคนเดียวอย่างน่าเสียดายแต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการแสดงของยูอาอิน ก็ยังสามารถพิสูจน์ให้เห็นได้ชัดเจนว่า เขาคือหนึ่งในนักแสดงชายเจ้าบทบาทที่เต็มไปด้วยพรสรรค์ทางด้านการแสดงอันดับต้น ๆ ของวงการ เมื่ออยู่ในบทบาทเขาจะเข้าถึงคาแรกเตอร์ได้อย่างน่าประทับใจ การเก็บรายละเอียดต่าง ๆ เพื่อเป็นเสื้อยิ้มยาก อย่าง อีชางโฮ ที่ราวกับว่าเขายืมวิญญาณโปรอีมาใช้ในหนัง มาทั้งบุคลิกและอินเนอร์ที่จัดจ้าน แม้ว่าจะเสียดายที่สัดส่วนความเด่นในหนังเรื่องนี้ของเขาได้ถูกตัดทอนออกไปทำให้ อีบยองฮอน ต้องมารับหน้าที่เป็นเหมือนนักแสดงนำชายเบอร์เดียวเบอร์เด่นของหนังเรื่องนี้แทน แน่นอนว่าเขาคนนี้ก็คือนักแสดงชายมืออาชีพของวงการบันเทิงเกาหลี เขายังสามารถรับมือกับบทบาทได้ดี สวมวิญญาณการเป็นโปรโชได้อย่างลึกซึ้ง กับลีลากการแสดงบทดรามาที่ยังจัดจ้านไม่เปลี่ยนแปลง ถึงแม้ว่าจะเป็นทิศทางของบทที่ไม่ได้แปลกใหม่อะไรสำคัญเขา แต่ก็ถือว่าเขารับมือและแบกตัวหนังเอาไว้ได้ดีอย่างมั่นคงเช่นกัน