การกลับมาของหนังแอคชันฟอร์มดีจากเน็ตฟลิกซ์ ที่ขอสารภาพตรง ๆ เลยว่าแทบจะไม่หลงเหลือความทรงจำเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้แล้ว แนะนำว่าถ้าใครจำไม่ได้ก็หาเปิดดูภาคแรกทบทวนกันสักหน่อยดี เพราะจะได้เข้าใจว่า The Old Guard 2 ภาคต่อของเหล่านักรบพันธุ์อมตะในครั้งนี้ ได้พานพบเรื่องราวใด ๆ มาบ้าง ที่นำมาสู่ชนวนเหตุของภาคใหม่ที่ดัดแปลงสร้างมาจากนิยายภาพและพยายามที่จะปลุกปั้นออกมาเป็นไตรภาคให้ลงได้สำหรับเรื่องราวในภาคต่อนี้ แอนดี้กับพวกพ้องนักรบอมตะ ได้กลับมาต่อสู้ด้วยเจตนารมณ์ที่แรงกล้ายิ่งกว่าเดิม เมื่อพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับศัตรูทรงพลังหน้าใหม่และน่าเกรงขาม เธอคนนั้นคือผู้ที่้้เฝ้ามองดูพวกเขามาตั้งแต่ยุคสมัยแห่งการเริ่มต้น และบัดนี้พยายามเข้ามาขัดขวางภารกิจปกป้องมนุษยชาติ พร้อมกับเธอยังต้องรับมือกับการหวนคืนมาของห้วงพลังอมตะที่นึกว่าสูญหายไปนานแล้วหนังยังคงสร้างมานิยายภาพของ เลอันโดร เฟอร์นานเดซ พร้อมกับยังได้ เกร็ก รุกกา มือเขียนบทกลับมาสานต่องานชิ้นนี้อีกครั้ง และยังคัมแบ็กด้วยทีมนักแสดงชุดเดิมที่คุ้นหน้ากันเป็นอย่างดี แต่จะมีเปลี่ยนแปลงก็คงจะเป็นผู้นำตำแหน่งใหญ่ของหนัง ที่เปลี่ยนผ่านมาเป็น วิคตอเรีย มาโฮนีย์รับหน้าที่กำกับแทน จีนา พรินซ์-ไบร์ทวูด ที่เคยสรรค์สร้างความปังเอาไว้จากภาคที่แล้ว แน่นอนว่ายังคงไว้วางใจฝีมือผู้กำกับหญิงเช่นเคย
แต่ก่อนจะเปิดหนังดูก็ได้ลองไปย้อนดูเครดิตผลงานของผู้กำกับหญิงที่มารับหน้าที่ดูแลงานสร้างในภาคนี้ ก็ต้องบอกตรง ๆ ว่าแทบไม่มีความคาดหวังอะไร ท่ามกลางความเลือนลางในเนื้อหาของภาคแรกที่นึกเท่าไหร่ก็ยังนึกไม่ออกได้แจ่มแจ้งเสียที แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เพราะผลลัพธ์ที่ออกมาใน The Old Guard 2 ค่อนข้างเจือจาง ไร้เสน่ห์ ไร้นิยาย และอาจจะไร้รสนิยมในความพยายามขยายจักรวาลที่ได้แค่มีเลข 2 ห้อยท้ายต่อ แต่ในแง่เนื้อหายังล้มเหลวอยู่อาจจะบอกตรง ๆ ว่า The Old Guard 2 น่าจะเป็นความดันทุรังที่อยากจะทำออกมาเป็น หนังแอคชัน ไตรภาคออกมาให้ครบ ๆ ตามสูตร โดยที่ไม่ได้คำนึกว่าทรัพยากรและความหนักแน่นของพล็อตเรื่องจะทะเยอทะยานเพียงพอที่จะซื้อใจผู้ชมได้หรือไม่ และนี่ก็คือผลลัพธ์ที่น่าจะเป็นของหนัง ออกมาเป็นหนังแอคชันที่รสชาติจืดชืด พร้อมกับท่วงท่าที่แข็งทื่อ หามนต์เสน่ห์แบบที่ภาคแรกทำเอาไว้ไม่ค่อยเจอเลยสักซีนเดียว กลายเป็นว่าภาคสองเป็นการพัฒนาที่ถอยหลังลงคลองเข้าไปอีกปัญหาใหญ่ ๆ ก็คือพล็อตของหนังที่ ที่แปะหน้าตัวโต ๆ ว่าเป็นภาคต่อหนังแอคชัน แต่ทว่ามีความแอคชันอยุ่เพียงหย่อมสองหย่อมเท่านั้น หนังพยายามอย่างแรงกล้าที่จะพยายาม(ยัดเยียด)ใส่ฐานข้อมูลในการขยายรากฐานจักรวาลเพิ่มขึ้นไป แต่น่าผิดหวังที่ประเด็นต่าง ๆ ที่ใส่เข้ามานั้น ไร้ซึ้งน้ำหนัก และไม่สามารถจับต้นชนปลายอะไรได้เลย แม้กระทั่งความสัมพันธ์ภายในทีมนักรบอมตะที่เคยแนบแน่น แต่ภาคนี้กลายเป็นทีมที่เหมือนไม่ได้เป็นทีมอีกต่อ ทุกอย่างช่างแห้งแล้งเหลือเกินและหนังก็อาจจะสเกลใหญ่เกินไปที่ผู้กำกับหญิงคนใหม่จะแบกรับได้ไหว นั่นจึงสะท้อนออกมาสัมผัสได้แทบจะทุกซีนในหนังเรื่องนี้ ที่เต็มไปด้วยความเก้ง ๆ กัง ๆ เป็นการนำเสนอผ่านสูตรสำเร็จแบบฉาบฉวย ที่ก็ไม่น่าใจเหมือนกันว่าผู้สร้างหยั่งรู้และเข้าใจถึงคอนเซ็ปต์ของ The Old Guard ภาคนี้มากน้อยแค่ไหน ก็ลงมาเพียงลุยสร้างงานภาคปฏิบัติให้จบ ๆ ไปเท่านั้น เพราะองค์ประกอบต่าง ๆ ไม่ใช่ลักษณะของหนังที่ดีเลย
โดยเฉพาะไฮไลต์บรรดาฉากต่อสู้ที่ควรจะเด็ดดวงและเจ๋งอีกครั้ง แต่ The Old Guard 2 ไม่ต่างกับการดาวน์เกรดลงไปอย่างน่าพิศวง ซีนบู๊ไร้ความคมคาย แต่ใส่เข้ามาด้วยแพ็คเกจสำเร็จรูปของหนังแอคชันแบบพึงมีเอาไว้เฉย ๆ ซ้ำปริมาณยังน้อยนิดแบบไม่จุใจด้วยซ้ำ ยิ่งมาผนวกเข้ากับจังหวะการตัดต่อและใส่ซีจีแบบชวนขนลุก(ที่ไม่ใช่ทางที่ดี) ก็ยิ่งลดทอนคุณค่าของหนังภาคต่อเรื่องนี้ไปอย่างน่าเสียคอนเทนท์แม้แต่ทีมนักแสดงที่ได้ตัวเป้ง ๆ มาจับใส่เอาไว้อยู่ในเรื่องนี้ ก็ยังไม่สามารถพาหนังไปรอดได้ ชาร์ลีซ เธอรอน กลับมารับบทเดิมของเธอ แต่ในภาคนี้เห็นได้ชัดเจนว่าไร้เสน่ห์ที่เปล่งปลั่งของนักรบสาวอมตะจากภาคก่อน อีกทั้งจังหวะการถ่ายทอดผ่านบทที่ไร้มิติของเธอก็ไม่มีความคมคายใด ๆ เลย เช่นเดียวกับ “อูมา เธอร์แมน” ที่เข้ามาเสริมในภาคนี้ เป็นตัวละครใหม่ที่สำคัญ แต่ได้รับการต้อนรับทีไร้ซึ่งความยิ่งใหญ่ใด ๆ ซ้ำยังไม่เป็นที่น่าจดจำได้เลยสักนิดเดียวโชคดีที่หนังภาคนี้ใช้เวลาไปแค่ 100 นาทีนิด ๆ ไม่ยืดยาวเนิบช้าไปเป็นหนัง 2 ชั่วโมงแบบไม่จำเป็น เพราะเพียงเวลาเท่านี้ก็เกินจำเป็นไปแล้วจริง ๆ เพราะหนังยังค่อนข้างล้มเหลวในการต่อขยายจักรวาลด้วยเนื้อหาที่สะเปะสะปะรกรุงรังเต็มไปหมด กลายเป็นภาคต่อที่แทบไม่ได้ถูกอัปเกรดใด ๆ ขึ้นเลย ทุกอย่างนิ่งเรียบเกินไป ไร้จุดเด่น ไร้เสน่ห์ และอีกนิดเดียวก็ไร้อรรถรสความสนุกไปแล้วซ้ำ