สำหรับหนังเรื่อง Seobok กำกับโดย Lee Yong-ju เป็นหนึ่งในผลงานที่ท้าทายความคิดของผู้ชมด้วยการตั้งคำถามเกี่ยวกับจริยธรรมของการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และความหมายของความเป็นมนุษย์ เรื่องราวนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แต่ยังชวนให้เราตั้งคำถามว่า “เราจะยอมแลกอะไรเพื่อความก้าวหน้าทางการแพทย์?”
ตัวละครหลักของเรื่องคือ “ซอโบก” (รับบทโดย Park Bo-Gum) เด็กหนุ่มที่ถูกสร้างขึ้นในห้องทดลองด้วยการดัดแปลงพันธุกรรม เขามีความสามารถพิเศษในการฟื้นฟูตัวเองและควบคุมสิ่งรอบตัวได้ แต่ความสามารถนี้มาพร้อมกับราคาที่ต้องจ่าย นั่นคือเขาต้องได้รับยาชนิดพิเศษทุก 24 ชั่วโมงเพื่อควบคุมการแบ่งตัวของเซลล์ มิเช่นนั้นเขาจะเสียชีวิต
เมื่อห้องทดลองถูกโจมตี อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกร่องชื่อ “คีฮอน” (รับบทโดย Gong Yoo) ถูกมอบหมายให้พาซอโบกไปยังสถานที่ปลอดภัยใหม่ การเดินทางครั้งนี้ไม่เพียงแต่เต็มไปด้วยอันตราย แต่ยังเผยให้เห็นความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างมนุษย์และสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา
เรื่องย่อ ซอบก มนุษย์อมตะ
ซอโบก เป็นผลผลิตของการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ก้าวล้ำเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการได้ เขาไม่เพียงแต่มีพลังในการรักษาตัวเอง แต่ยังสามารถควบคุมสิ่งรอบตัวได้ด้วยพลังจิต อย่างไรก็ตาม ความสามารถเหล่านี้มาพร้อมกับข้อจำกัดที่ร้ายแรง นั่นคือเขาต้องได้รับยาชนิดพิเศษทุกวันเพื่อควบคุมการแบ่งตัวของเซลล์
เมื่อห้องทดลองถูกโจมตี อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกร่องชื่อ คีฮอน (Gong Yoo) ถูกมอบหมายให้พาซอโบกไปยังสถานที่ปลอดภัยใหม่ คีฮอนเองก็มีเหตุผลส่วนตัวในการรับงานนี้ เขาป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หายและถูกเสนอให้ได้รับเลือดของซอโบกเพื่อรักษาตัวเอง
การเดินทางครั้งนี้ไม่เพียงแต่เต็มไปด้วยอันตราย แต่ยังเผยให้เห็นความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างมนุษย์และสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา ซอโบกที่เพิ่งได้สัมผัสโลกภายนอกเป็นครั้งแรกเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับความหมายของชีวิต ในขณะที่คีฮอนต้องเผชิญกับความจริงที่ว่าเขาอาจต้องแลกชีวิตของซอโบกเพื่อรักษาตัวเอง
หนึ่งในประเด็นหลักของ ซอบก มนุษย์อมตะ คือการตั้งคำถามเกี่ยวกับจริยธรรมของการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ หนังเรื่องนี้ชวนให้เราตั้งคำถามว่า “เราจะยอมแลกอะไรเพื่อความก้าวหน้าทางการแพทย์?” และ “อะไรคือขีดจำกัดของวิทยาศาสตร์?”
แม้ว่า Seobok หนังไซไฟแอคชั่น เรื่องนี้จะมีฉากแอคชั่นที่ตื่นตาตื่นใจ แต่บางครั้งฉากเหล่านี้ก็ดูไม่สอดคล้องกับเนื้อเรื่องหลัก หนังเรื่องนี้พยายามที่จะผสมผสานระหว่างการตั้งคำถามเชิงปรัชญาและความบันเทิงแบบแอคชั่น แต่บางครั้งก็รู้สึกเหมือนสองเรื่องที่ถูกบังคับให้รวมกัน ฉากแอคชั่นในส่วนท้ายของเรื่องเป็นจุดเด่นที่ทำให้ผู้ชมตื่นเต้น แต่ก็เป็นจุดที่ทำให้หนังรู้สึกเหมือนหนังซูเปอร์ฮีโร่มากกว่าหนังไซไฟที่ลึกซึ้ง