เรื่อง The Idol (HBO)

เรื่อง The Idol (HBO)

สวัสดีค่ะทุกคน! วันนี้ขอพามาเม้าท์มอยเรื่องซีรีส์ที่ถูกพูดถึง (และด่าทอ) มากที่สุดในช่วงกลางปีที่ผ่านมา นั่นก็คือ “The Idol” ซีรีส์จาก HBO ที่ได้ตัวพ่อแห่งความดาร์กอย่าง Sam Levinson (ผู้สร้าง Euphoria) มาแท็กทีมกับพ่อหนุ่มเซ็กซี่ตัวท็อปอย่าง The Weeknd (Abel Tesfaye) และการเปิดตัวนางเอกสาวสุดฮอต Lily-Rose Depp ในบทนำ!โอ้โห แค่ชื่อทีมงานก็รู้แล้วว่านี่ไม่ใช่ซีรีส์รักใสๆ แน่นอน! แต่…สรุปแล้วมันปังหรือพังกันแน่? มาค่ะ! ฉันจะเล่าให้ฟังแบบหมดเปลือก เหมือนนั่งเม้าท์กับเพื่อนสนิท!

เรื่อง The Idol (HBO)

เนื้อเรื่องย่อ: เมื่อป๊อปสตาร์สาวหลงทางไปเจอ ‘เจ้าลัทธิ’ สุดอันตราย

เรื่องราวหลักๆ ของมันหมุนรอบตัว Jocelyn (Lily-Rose Depp) ป๊อปสตาร์สาวสวยที่กำลังเผชิญกับภาวะซึมเศร้าและความกดดันหลังจากการสูญเสียแม่ และต้องการกลับมายืนหยัดในวงการเพลงให้ได้ด้วยภาพลักษณ์ที่เซ็กซี่และยั่วยวนกว่าเดิม

แต่แล้วชีวิตเธอก็พลิกผันเมื่อได้พบกับ Tedros (The Weeknd) เจ้าของไนต์คลับสุดลึกลับในแอลเอ ที่ดูเหมือนจะเป็น “กูรู” หรือ “เจ้าลัทธิ” ที่สามารถมองทะลุความอ่อนแอของเธอได้ Tedros เข้ามาในชีวิต Jocelyn ในฐานะที่ปรึกษาด้านดนตรี คนรัก และคนบงการชีวิต…อย่างเข้มข้นถึงขั้นมืดมิด!

🤔 แก่นเรื่อง: มันคือการสำรวจด้านมืดของวงการดนตรีป๊อป, การแสวงหาความต้องการทางเพศ, อำนาจ, และการควบคุมจิตใจของคนดังที่เปราะบางภายใต้แสงสปอตไลท์

เรื่อง The Idol (HBO)

 

💔 ทำไมซีรีส์เรื่องนี้ถึงเป็นที่พูดถึงในแง่ลบ?

พูดตรงๆ เลยนะ คือกระแสของเรื่องนี้มันเหมือนกับรถไฟที่พุ่งชนกำแพง! มีหลายคนที่ดูแล้วรู้สึก “ไม่โอเค” มากๆ และนี่คือสิ่งที่ฉันรู้สึกเหมือนกับคนส่วนใหญ่:

1. ความพยายามที่จะ ‘เซ็กซี่’ จนเกินงาม

คือเราเข้าใจว่า Sam Levinson เขามาสายดาร์ก สายภาพสวยแต่เนื้อหาแรงอยู่แล้ว (Euphoria คือตัวอย่างที่ดี) แต่สำหรับ The Idol มันเหมือนกับการพยายามยัดเยียดฉากเปลือยและฉากเซ็กซ์ที่ดูไม่มีความจำเป็นต่อเนื้อเรื่องเยอะเกินไป จนบางครั้งมันรู้สึกว่า “เอ๊ะ นี่มันกำลังดูอะไรอยู่เนี่ย?”

มันไม่ได้รู้สึกว่าเซ็กซี่แบบมีศิลปะ แต่มันรู้สึกเหมือน “exploitation” (การแสวงหาผลประโยชน์) มากกว่า ทำให้หลายคนมองว่านี่คือการเอาความเปราะบางของผู้หญิงมาขายแบบโจ่งแจ้งเกินไป

2. บทบาทของ Tedros ที่ไม่น่าเชื่อถือ

นี่คือจุดที่ฉันว่ามันพังที่สุด! The Weeknd ในบท Tedros คือปัญหาใหญ่ บทที่เขียนมาให้เขานั้นดูเป็นตัวร้ายที่ขาดมิติอย่างน่าใจใจ Tedros ถูกเขียนให้เป็นผู้ชายที่ดู “คูล” ลึกลับ และมีเสน่ห์ดึงดูดป๊อปสตาร์ระดับโลกได้ แต่การแสดงของ The Weeknd กลับทำให้ตัวละครนี้ดู “ตะกุกตะกัก” “น่าอึดอัด” และ “ไม่น่าเชื่อ” ว่าจะเป็นเจ้าลัทธิที่ควบคุมใครได้จริง

ความพยายามของเขาในการดูน่ากลัวกลับกลายเป็นความตลกขบขันโดยไม่ตั้งใจ ทำให้เคมีระหว่างเขากับ Jocelyn ดูไม่ราบรื่นและขาดพลัง!

3. จุดจบที่ดู “ลวกๆ” และ “รวบรัด”

เดิมทีซีรีส์นี้มีข่าวว่าถ่ายทำไปแล้วแต่ถูกรื้อบทใหม่และลดจำนวนตอนลงจาก 6 เป็น 5 (บางประเทศรวมตอนสุดท้ายเป็นตอนเดียว) การเปลี่ยนแปลงนี้มันส่งผลกระทบชัดเจนมาก! เนื้อเรื่องในช่วงหลังดูรีบเร่งอย่างเห็นได้ชัด และตอนจบ…โอ้โห…มันทิ้งปมที่ใหญ่มากๆ ไว้ให้คนดูคิดเอง และจบแบบที่ทำให้คนดูรู้สึกว่า “อ้าว! จบแล้วเหรอ? แล้วที่ดูมาทั้งหมดคืออะไร?”

🚨 สปอยล์นิดหน่อย: ตอนจบมันพยายามจะหักมุมแบบ Psycho-Thriller แต่กลับกลายเป็นว่ามันทำลายตรรกะของสิ่งที่เกิดขึ้นมาตลอดทั้งซีรีส์ไปเลย จนทำให้คนดูรู้สึกว่า “ตัวละครนี้เพี้ยน หรือคนเขียนบทเพี้ยนกันแน่?”

 

เรื่อง The Idol (HBO)

ข้อดีที่ยังทำให้เราดูต่อจนจบ

ถึงแม้จะมีข้อตำหนิเพียบ แต่ฉันก็ยังดูจนจบได้นะ และนี่คือสิ่งที่ฉันชอบ:

  1. Lily-Rose Depp คือแบกทั้งเรื่อง! เธอยอดเยี่ยมมากจริงๆ ในบท Jocelyn เธอถ่ายทอดความซับซ้อน ความเปราะบาง ความมืดมิด และความมุ่งมั่นของป๊อปสตาร์ที่ต้องการจะควบคุมชีวิตตัวเองได้ดีมาก! ฉากที่เธอเต้น หรือฉากที่เธอต้องแสดงอารมณ์ที่รุนแรง เธอกินขาด!
  2. งานภาพและ Production ที่สวยงามตามแบบ HBO: ต้องยอมรับว่าถึงแม้บทจะแย่ แต่ The Idol ยังคงมี งานภาพ (Cinematography) ที่สวยงามและมีสไตล์จัดจ้านตามแบบฉบับของ Sam Levinson ทุกเฟรมดูประณีต แสงสี การจัดองค์ประกอบภาพคือระดับพรีเมียม!
  3. เพลงประกอบที่ติดหู: แน่นอนว่าต้องมีเพลงประกอบที่ไพเราะและติดหูตามสไตล์ของ The Weeknd

 

💖 บทสรุป: สรุปแล้วควรดูไหม?

ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบงานภาพสวยๆ, การแสดงของ Lily-Rose Depp, และทนดูเนื้อหาที่ “ฉาวโฉ่” หรือ “ยั่วโมโห” ได้โดยไม่หงุดหงิดจนเกินไป, และอยากรู้ว่าซีรีส์ที่ฉาวที่สุดแห่งปีมันเป็นยังไง…ก็ลองดูได้ค่ะ!

แต่ถ้าคุณกำลังมองหาซีรีส์ที่มีบทพูดที่ชาญฉลาด มีตรรกะ, ตัวละครที่มีมิติที่น่าติดตาม, และความสัมพันธ์ที่น่าเชื่อถือ… ข้ามไปดู Euphoria ซีซั่นเก่าๆ แทนจะดีกว่า!

มันคือการทดลองที่กล้าหาญ (หรืออาจจะบ้าบิ่น) ที่สุดท้ายแล้วมันลงเอยด้วยการเป็นซีรีส์ที่ “น่าสนใจ” ในฐานะ “หายนะทางวัฒนธรรมป๊อป” มากกว่าจะเป็น “ผลงานศิลปะ” ที่แท้จริง

 

Scroll to Top