หนัง

หนัง

ท็อปกัน มาเวอริค
หนัง

รีวิวหนังเรื่อง Top Gun Maverick ท็อปกัน มาเวอริค

หลังจากเวลาผ่านไปกว่าสามทศวรรษ Top Gun Maverick ได้กลับมาสานต่อตำนานแห่งกองทัพอากาศสหรัฐฯ โดยยังคงใช้หัวใจหลักของภาคแรกคือ ความเร็ว อารมณ์ ความท้าทาย และการเสียสละ หนังภาคต่อนี้กำกับโดย Joseph Kosinski และนำแสดงโดย Tom Cruise ผู้กลับมารับบท “Pete ‘Maverick’ Mitchell” นักบินฝีมือระดับตำนานที่ยังคงใช้ชีวิตอยู่บนขอบของขีดจำกัด ท่ามกลางโลกที่เทคโนโลยีกำลังแทนที่มนุษย์ เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อ Maverick ได้รับคำสั่งให้กลับไปยังโรงเรียนฝึกนักบินรบ “TOP GUN” เพื่อฝึกทีมเฉพาะกิจในการปฏิบัติภารกิจสุดเสี่ยง ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่ยากไปกว่านั้นคือในกลุ่มนักบินที่เขาต้องฝึก มี “Bradley ‘Rooster’ Bradshaw” ลูกชายของเพื่อนรักที่เสียชีวิตจากภาคแรก ซึ่งเต็มไปด้วยความขัดแย้งในอดีต ทั้งความรู้สึกผิด ความเจ็บปวด และการให้อภัย สิ่งที่หนังเรื่องนี้ทำได้อย่างโดดเด่นคือการนำเสนอฉากบินที่แทบไม่พึ่ง CGI โดยมีการถ่ายทำในเครื่องบินจริง ใช้กล้องความเร็วสูง และนักแสดงต้องฝึกบินจริงก่อนเข้าฉาก ซึ่งทำให้ทุกซีนของการบินดูสมจริง หวาดเสียว และเต็มไปด้วยพลัง ทั้งเสียงเครื่องยนต์ เสียงหายใจ และแรงเหวี่ยงในห้องนักบิน ถ่ายทอดความรู้สึกของนักบินอย่างแท้จริง   Tom Cruise ยังคงพิสูจน์ให้เห็นถึงพลังของนักแสดงระดับฮอลลีวูดที่ทุ่มเทสุดตัวกับบทบาท […]

หนัง

รีวิวหนัง Yadang The Snitch ทรชนคนสองหน้า เฉือนคมละมุน ขบขันบรรเจิด เกิดเป็นความปัง

      บ่อยครั้งที่ความบันเทิงของหนังฝั่งเกาหลี มักจะมาในรูปแบบที่แฝงด้วยประเด็นอาชญากรรม ที่ทำให้ความหนักหน่วงในประเด็นเดือด ๆ ดูผ่อนคลายความระอุลงได้ กลายเป็นอีกหนึ่งสูตรที่ประสบความสำเร็จบ่อย ๆ ในแง่หนังแอคชันตลกจากแดนกิมจิในสมัยนี้ และ Yadang The Snitch ทรชนคนสองหน้า ก็คือหนังจากโคเรียนเรื่องล่าสุดที่พกความทะเล้นสุดขึงขังนี้มาตีไข่และตอบโจทย์ให้กับแฟน ๆ ได้บันเทิงกันอย่างถ้วนหน้าอีกังซู อาชญากรหนุ่มต้องโทษได้รับข้อเสนอจากอัยการ กูกวันฮี ให้เขาเป็นยาดังให้กับเจ้าหน้าที่ เพื่อแลกกับการลดโทษที่เขาต้องชดใช้อยู่ เขาจึงรับข้อเสนอและชีวิตในการเป็นยาดังของเขาก็รุ่งโรจน์ขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่นั่นก็ทำให้ โอซางแจ เจ้าหน้าที่สายสืบหน่วยปราบปรามยาเสพติดไม่ค่อยพอใจกับวิธีการนี้ เพราะทำให้แนวทางการสืบสวนของเขาเผชิญหน้ากับความล้มเหลวอยู่หลายครั้ง ทำให้เขาเริ่มที่จะขุดคุ้ยความโยงใยในสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างอัยการหนุ่มและยาดังตัวจี๊ด ว่าจริง ๆ แล้วมันมีอะไรแอบซ่อนอยู่กันแน่หนังเป็นผลงานล่าสุดของนักแสดงตัวประกอบและตัวขโมยซีนในหนังเกาหลีดังๆ หลายเรื่อง อย่าง ฮวังบยองกุก ที่ถือว่าห่างหายไปจากการจับงานสร้างหนังไปกว่า 10 ปี เพราะเหมือนประชดที่เป็นผู้กำกับแล้วไม่ค่อยรุ่ง ทำให้หลังจากที่เคยสร้างหนังบู๊ SIU ฉายในปี 2011 เป็นต้นมา เขาก็หันมาเอาดีกับการแสดงอยู่หน้ากล้องแทน มีผลงานเป็นบทสมทบเล็ก ๆ ใน Veteran, Tunnel หรือ V.I.P. กว่าจะเรียกความมั่นใจให้กับมาสร้างหนังได้อีกครั้ง         ซึ่งก็ดูเหมือนว่าการเพาะบ่มเก็บประสบการณ์อยู่หน้ากล้องของเขาก็ทำให้สะท้อนออกมาถึงวิสัยทัศน์ที่แจ่มจรัสยิ่งขึ้น กลายเป็นว่า

casper
หนัง

รีวิวภาพยนตร์ CASPER

CASPER ภาพยนตร์แฟนตาซี คอมเมดี้สุดคลาสสิกที่ออกฉายในปี 1995 ได้นำเสนอเรื่องราวอันอบอุ่นหัวใจของ แคสเปอร์ ผีน้อยใจดีที่แตกต่างจากผีตนอื่น ๆ เขาไม่ต้องการหลอกหลอนผู้คน แต่กลับปรารถนาที่จะมีเพื่อนและใช้ชีวิตเหมือนเด็กธรรมดา เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อ แคท ฮาร์วีย์ (รับบทโดย คริสตินา ริชชี) และพ่อของเธอ ดร. เจมส์ ฮาร์วีย์ (รับบทโดย บิล พูลล์แมน) นักบำบัดผีผู้โด่งดัง ย้ายเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์เก่าแก่ชื่อ “วิปสแตฟฟ์” ที่เต็มไปด้วยวิญญาณสี่ตน ได้แก่ แคสเปอร์ และลุงผู้ชั่วร้ายทั้งสามของเขา คือ สเตรทช์, สตริงกี้ และ แฟตโซ่ ผีขี้โมโหที่มักจะหาเรื่องรบกวนทุกคนที่เข้ามาในบ้านอยู่เสมอ ความสัมพันธ์ระหว่าง แคท และแคสเปอร์คือแกนหลักของเรื่อง แคทเป็นเด็กสาวที่เพิ่งสูญเสียแม่และต้องย้ายโรงเรียนบ่อยๆ ทำให้เธอรู้สึกโดดเดี่ยวและเข้าใจความรู้สึกของแคสเปอร์ที่อยากมีเพื่อน เธอไม่กลัวแคสเปอร์เลยแม้แต่น้อย แต่กลับมองเห็นความดีงามภายในตัวผีน้อยตนนี้ มิตรภาพของทั้งสองค่อยๆ ก่อตัวขึ้นท่ามกลางความปั่นป่วนที่เกิดจากลุงผีสามตนที่พยายามไล่คนออกจากคฤหาสน์ แคสเปอร์พยายามช่วยเหลือแคทและพ่อของเธอให้ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านได้อย่างสงบสุข ในขณะเดียวกันก็ต้องรับมือกับความเจ้าเล่ห์ของลุงๆ ที่ไม่เคยหยุดสร้างปัญหา จุดเด่นของภาพยนตร์เรื่องนี้คือการผสมผสานองค์ประกอบของความแฟนตาซี, ความตลกขบขัน, และดราม่าเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว แม้จะมีฉากที่น่ากลัวบ้างจากเหล่าผีจอมป่วน แต่ภาพยนตร์ก็ยังคงรักษาโทนเรื่องที่เป็นมิตรและเหมาะสำหรับผู้ชมทุกวัย นอกจากแคทและแคสเปอร์แล้ว ตัวละครสมทบอื่นๆ ก็มีบทบาทสำคัญในการสร้างสีสันให้กับเรื่อง โดยเฉพาะเหล่าลุงผีทั้งสาม ที่แม้จะร้ายกาจแต่ก็มีความเป็นเอกลักษณ์และสร้างเสียงหัวเราะได้ไม่น้อย ดร. ฮาร์วีย์เองก็เป็นตัวละครที่น่าสนใจ ด้วยความพยายามที่จะสื่อสารกับวิญญาณและคลี่คลายปริศนาต่างๆ ในคฤหาสน์ นอกจากนี้ ภาพยนตร์ยังเล่าถึงเรื่องราวเบื้องหลังของแคสเปอร์ที่น่าประทับใจ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ผู้ชมเข้าใจและผูกพันกับตัวละครผีน้อยตนนี้มากยิ่งขึ้น การเปิดเผยว่าแคสเปอร์เป็นใครก่อนที่จะกลายเป็นผี และเหตุผลที่ทำให้เขายังคงอยู่ในคฤหาสน์วิปสแตฟฟ์ เป็นส่วนที่เพิ่มความซาบซึ้งและปนเปื้อนความเศร้าเล็กน้อย แต่ก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เรื่องราวสมบูรณ์แบบ เทคนิคพิเศษด้านภาพและเสียงในยุคนั้นถือว่าทำออกมาได้อย่างน่าประทับใจ การสร้างสรรค์ตัวละครผีที่ดูโปร่งแสงและสามารถโต้ตอบกับวัตถุต่างๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ผู้ชมเชื่อและดื่มด่ำไปกับโลกของ CASPER ได้อย่างง่ายดาย ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่เพียงแต่เป็นเพียงความบันเทิง แต่ยังสะท้อนถึงประเด็นของมิตรภาพ ความเหงา การยอมรับ และการก้าวข้ามความแตกต่าง เพื่อค้นหาความหมายของการมีชีวิตอยู่ (แม้จะอยู่ในฐานะผีก็ตาม) CASPER จึงเป็นภาพยนตร์ที่ยังคงอยู่ในใจของใครหลายๆ คน และเป็นเครื่องยืนยันว่ามิตรภาพที่แท้จริงสามารถเกิดขึ้นได้ไม่ว่าจะเป็นคนหรือวิญญาณก็ตาม  

หนัง

รีวิวภาพยนตร์เรื่อง The Power of the Dog อำนาจบาดลึก

การสำรวจความเปราะบางภายใต้หน้ากากความเข้มแข็งในเรื่อง The Power of the Dog เป็นภาพยนตร์ดราม่าเชิงจิตวิทยาที่กำกับโดย เจน แคมเปียน (Jane Campion) ดัดแปลงจากนิยายชื่อเดียวกันของโธมัส ซาเวจ (Thomas Savage) ซึ่งเล่าเรื่องราวในยุค 1920 ของอเมริกาตะวันตก ด้วยบรรยากาศของฟาร์มปศุสัตว์ในรัฐมอนแทนา ภาพยนตร์เรื่องนี้เต็มไปด้วยความเงียบงัน ความอึดอัด และการปะทะกันของอารมณ์ที่ลึกซึ้งและซับซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสำรวจจิตใจของตัวละครหลัก “ฟิล เบอร์แบงก์” รับบทโดยเบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์ ฟิลเป็นคาวบอยผู้มีความเข้มแข็ง หยาบกระด้าง และเหยียดหยามผู้คนรอบตัว เขาเป็นคนที่ภายนอกดูแข็งแกร่ง มีอำนาจ และเป็นผู้นำในฟาร์ม แต่ภายในกลับซ่อนความเปราะบางบางอย่างที่เขาไม่ยอมให้ใครเห็น เมื่อพี่ชายของเขา จอร์จ เบอร์แบงก์ พาภรรยาใหม่ “โรส” และลูกชายของเธอ “ปีเตอร์” เข้ามาอาศัยในบ้าน ฟิลเริ่มแสดงออกด้วยท่าทีดูถูกเหยียดหยาม ข่มขู่ และกดดันโรสอย่างไม่ลดละ นำไปสู่ความตึงเครียดที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในครอบครัว ทว่า สิ่งที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ทรงพลังไม่ใช่เพียงแค่พล็อต หากแต่เป็นการเล่าเรื่องที่ค่อยเป็นค่อยไป การใช้ภาษาภาพที่สงบนิ่งแต่แฝงด้วยความหมาย และการแสดงอันยอดเยี่ยมของนักแสดงทุกคน โดยเฉพาะคัมเบอร์แบตช์ที่ตีความบทบาทของฟิลได้อย่างลึกซึ้ง เขาถ่ายทอดความซับซ้อนในจิตใจของตัวละครที่ต่อสู้กับความรู้สึกของตัวเอง ทั้งเรื่องเพศ

หนัง

รีวิวหนัง 28 Years Later 28 ปีให้หลัง เชื้อเขมือบคน การกลับมาจุติเชื้อไฟเฟรนไชส์ในตำนาน

  อีกหนึ่งเฟรนไชส์ในตำนานที่ได้ฤกษ์กลับมาสานต่อลมหายใจในปีนี้ก็คือ 28 Years Later 28 ปีให้หลัง เชื้อเขมือบคน หนังไซไฟซอมบี้ระทึกขวัญจากฝั่งอังกฤษ ที่เคยเรืองรองสร้างกระแสในหมู่คนดีได้ดีในช่วงยุค 2000s บัดนี้ก็ถึงแก่เวลาที่จะปัดฝุ่นและขยายโลกใบเดิมให้กว้างยิ่งขึ้น กับห้วงเวลาและไทม์ไลน์ที่ผ่านไปหลายเป็นทศวรรษ ที่นี่เป็นเหมือนจุดประกายไฟสานต่อความร้อนแรงให้กับหนังชุดนี้ได้อีกครั้ง เป็นเวลาเกือบสามทศวรรษแล้ว นับตั้งแต่เชื้อไวรัสหายนะหลุดออกมาจากห้องทดลองอาวุธชีวภาพ และในตอนนี้ แม้จะยังคงมีการกักกันอย่างเข้มงวดอยจะยังคงอยู่ บางคนก็หาวิธีเอาชีวิตรอดท่ามกลางเหล่าผู้ติดเชื้อได้ โดยหนึ่งในกลุ่มผู้รอดชีวิตนี้อาศัยอยู่บนเกาะเล็ก ๆ ที่เชื่อมต่อกับแผ่นดินใหญ่ด้วยสะพานเส้นเดียวที่ได้รับการป้องกันอย่างแน่นหนา แต่เมื่อหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มออกจากเกาะเพื่อปฏิบัติภารกิจในส่วนลึกของแผ่นดินใหญ่ เขาก็ได้ค้นพบความลับ ความมหัศจรรย์ และความสยองขวัญที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงแค่ผู้ติดเชื้อ แต่รวมถึงผู้รอดชีวิตคนอื่น ๆ ด้วยนี่น่าจะเป็นหนึ่งในโปรเจกต์ที่แฟนหนังรอคอยกันมาแสนนานจริง ๆ เพราะเริ่มต้นตั้งแต่ 28 Days Later มาถึงภาคต่อ 28 Weeks Later ในอีก 5 ปีต่อมา เคยมีความพยายามที่จะสรรค์สร้างออกมาเป็น 28 Months Later ในช่วงยุคปี 2010s ที่พัฒนาเรื่อยมาจนแล้วจนรอดก็ไม่ได้เกิด ก่อนจะเลือนหายไปพร้อม ๆ กับการควบรวมกิจการของอดีตค่ายทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ แต่ต้องขอบคุณที่ทีมผู้สร้างและ โซนี

Formula 1
หนัง

รีวิวภาพยนตร์ F1 (2025)

ภาพยนตร์เรื่อง “F1” (2025) ที่นำแสดงโดย แบรด พิตต์ และกำกับโดย โจเซฟ โคซินสกี้ ผู้สร้าง “Top Gun: Maverick” ได้พาผู้ชมดำดิ่งสู่โลกแห่งความเร็วและดราม่าของ Formula 1 ได้อย่างน่าทึ่ง แม้ว่าโครงเรื่องจะค่อนข้างคุ้นเคยในแนวหนังเกี่ยวกับกีฬากลับมาผงาด แต่สิ่งที่ทำให้ “F1” โดดเด่นอย่างแท้จริงคือความสมจริงของฉากแข่งรถและการแสดงที่ทรงพลัง เรื่องราวของ “F1” เล่าถึง ซอนนี่ เฮย์ส (แบรด พิตต์) อดีตนักแข่ง F1 ผู้มากฝีมือที่ชีวิตต้องพลิกผันจากอุบัติเหตุร้ายแรงในปี 1993 และใช้ชีวิตเร่ร่อนเป็นนักแข่งรับจ้าง เขาได้รับโอกาสครั้งที่สองจาก รูเบน เซอร์วานเตส (ฮาเวียร์ บาร์เด็ม) อดีตเพื่อนร่วมทีมและเจ้าของทีม APXGP ที่กำลังประสบปัญหาอย่างหนัก ซอนนี่ต้องกลับมาลงสนามอีกครั้งเพื่อกอบกู้ทีมที่ใกล้ล้มละลาย และยังต้องรับบทบาทเป็นพี่เลี้ยงให้กับ จอชัว เพียร์ซ (แดมสัน ไอดริส) นักแข่งดาวรุ่งมากพรสวรรค์แต่เปี่ยมด้วยอีโก้สูงลิบลิ่ว เคมีระหว่างแบรด พิตต์ และแดมสัน ไอดริส เป็นแกนหลักที่ขับเคลื่อนเรื่องราว มาร์ลินในบทซอนนี่ เฮย์ส ถ่ายทอดความเก๋า ความอ่อนล้าจากชีวิตที่ผ่านมา แต่ก็ยังคงเต็มไปด้วยเสน่ห์และแพชชั่นในการขับขี่ ในขณะที่แดมสัน ไอดริส ก็รับบทจอชัว เพียร์ซ ได้อย่างน่าเชื่อถือ ทั้งความเย่อหยิ่ง ความทะเยอทะยาน และความเปราะบางที่ซ่อนอยู่ภายใน ความสัมพันธ์แบบศิษย์-อาจารย์ และคู่แข่งในเวลาเดียวกัน สร้างพลวัตที่น่าสนใจให้กับเรื่องราว นำไปสู่การปะทะทางความคิดและการเติบโตของตัวละครทั้งสอง จุดเด่นที่สุดของ F1 คือฉากการแข่งรถที่ถ่ายทำได้อย่างสมจริงและน่าตื่นตาตื่นใจ ด้วยความร่วมมือกับ Formula 1 อย่างเต็มรูปแบบ ทีมงานสามารถเข้าถึงสนามแข่งจริง รถ F1 จริง และแม้กระทั่งนักแข่ง F1 ตัวจริงมาร่วมแสดงรับเชิญมากมาย ทำให้ภาพที่ออกมานั้นราวกับหลุดมาจากสนามแข่งจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นมุมกล้องจากในห้องคนขับที่ทำให้รู้สึกเหมือนนั่งอยู่ในรถแข่งจริง ๆ หรือภาพมุมกว้างที่แสดงถึงความเร็วและพลังของรถ F1 ได้อย่างเต็มที่ เสียงเครื่องยนต์ที่คำรามก้อง และความรวดเร็วของการตัดต่อในฉากแอ็คชั่น สร้างประสบการณ์ที่เร้าใจและอะดรีนาลีนพลุ่งพล่าน จนผู้ชมแทบจะลืมหายใจ แม้ว่าโครงเรื่องจะไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่มากนัก แต่ “F1” ก็ทำหน้าที่ของหนังดราม่ากีฬาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยการสร้างความผูกพันกับตัวละครและทีม APXGP ทำให้ผู้ชมลุ้นและเอาใจช่วยไปกับการต่อสู้ของพวกเขา นอกจากฉากแข่งรถที่ตื่นเต้นแล้ว ภาพยนตร์ยังสำรวจประเด็นของมิตรภาพ การแก้ไขความผิดพลาดในอดีต การเรียนรู้ที่จะยอมรับความเปลี่ยนแปลง และการไล่ตามความฝันอีกครั้ง ซึ่งเป็นแก่นเรื่องที่เข้าถึงใจผู้ชมได้ไม่ยาก โดยรวมแล้ว “F1” เป็นภาพยนตร์ที่คอหนังแข่งรถไม่ควรพลาด ด้วยฉากแอ็คชั่นสุดอลังการที่หาดูได้ยากในภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆ บวกกับการแสดงที่แข็งแกร่งของนักแสดงนำ ทำให้ “F1” เป็นหนังที่มอบความบันเทิงและความตื่นเต้นได้อย่างเต็มเปี่ยม และจะทำให้คุณรู้สึกเหมือนได้สัมผัสบรรยากาศของการแข่งขัน Formula 1 อย่างใกล้ชิด

Nightbooks
หนัง

รีวิวภาพยนตร์ Nightbooks

Nightbooks เป็น ภาพยนตร์แฟนตาซีสยองขวัญ ที่สร้างจากหนังสือนิยายชื่อเดียวกันของ J.A. White นำเสนอเรื่องราวของ อเล็กซ์ (รับบทโดย วินสโลว์ เฟกลีย์) เด็กชายผู้หลงใหลในเรื่องราวสยองขวัญที่ต้องติดอยู่ในอพาร์ตเมนต์ลึกลับของแม่มดชั่วร้ายชื่อ ยายะ (รับบทโดย คริสเตน ริตเตอร์) เพื่อเอาชีวิตรอด เขาต้องเล่านิทานสยองขวัญให้ยายะฟังคืนละหนึ่งเรื่อง หากเรื่องไหนไม่ถูกใจ เขาก็อาจจะต้องหายตัวไปตลอดกาล ที่นั่น อเล็กซ์ได้พบกับ ยัสมิน (รับบทโดย ลีเดีย จีเวลต์) เด็กสาวอีกคนที่ติดอยู่ที่นั่นเช่นกัน ทั้งสองต้องร่วมมือกันเพื่อหาทางหนีออกไปจากสถานที่อันน่าสะพรึงกลัวแห่งนี้ จุดเด่นของ Nightbooks อยู่ที่การผสมผสานความน่ากลัวเข้ากับความน่ารักน่าชังได้อย่างลงตัว ถึงแม้จะเป็นหนังแนวสยองขวัญสำหรับเด็ก แต่ก็ไม่ได้น่ากลัวจนเกินไป กลับกัน มันเต็มไปด้วยจินตนาการที่ชวนฝันร้ายในแบบที่เด็กๆ จะชื่นชอบ งานสร้างและฉากต่างๆ ถูกออกแบบมาได้อย่างสวยงามและชวนหลอน อพาร์ตเมนต์ของยายะเต็มไปด้วยรายละเอียดที่น่าสนใจ ตั้งแต่ห้องสมุดที่เต็มไปด้วยหนังสือผี ไปจนถึงสวนที่เต็มไปด้วยพืชประหลาดที่กินเนื้อคน การออกแบบตัวละครของยายะก็โดดเด่นไม่แพ้กัน คริสเตน ริตเตอร์สวมบทบาทเป็นแม่มดผู้ชั่วร้ายได้อย่างมีเสน่ห์ เธอทั้งน่ากลัว ลึกลับ และน่าดึงดูดในเวลาเดียวกัน ทำให้ผู้ชมอยากรู้ว่าเบื้องหลังความร้ายกาจของเธอคืออะไร หัวใจหลักของเรื่องคือพลังของการเล่าเรื่อง อเล็กซ์ ต้องงัดทุกเรื่องสยองขวัญที่อยู่ในหัวออกมาเพื่อเอาชีวิตรอด ซึ่งแต่ละเรื่องก็ถูกนำเสนอออกมาในรูปแบบของแอนิเมชันสั้นๆ ที่มีสไตล์แตกต่างกันไป การเล่านิทานไม่ได้เป็นแค่การถ่วงเวลา แต่ยังเป็นวิธีที่อเล็กซ์ใช้ในการทำความเข้าใจตัวเองและโลกใบนี้ ภาพยนตร์เน้นย้ำว่าเรื่องราวสามารถเป็นทั้งเครื่องมือในการควบคุมและเครื่องมือในการปลดปล่อยได้ การที่อเล็กซ์ต้องสร้างสรรค์เรื่องราวใหม่ๆ ขึ้นมาเรื่อยๆ ยังเป็นการสะท้อนถึงความคิดสร้างสรรค์ที่ไร้ขีดจำกัดของเด็กๆ นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างอเล็กซ์และยัสมิน ก็เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่น่าสนใจ พวกเขาต่างพึ่งพากันและกัน เรียนรู้ที่จะไว้ใจและช่วยเหลือกันในสถานการณ์คับขัน การผจญภัยของพวกเขาไม่ได้เป็นเพียงแค่การหนีเอาตัวรอด แต่ยังเป็นการเติบโตและเรียนรู้ที่จะเผชิญหน้ากับความกลัวของตัวเอง Nightbooks เป็นภาพยนตร์ที่ มอบทั้งความบันเทิงและข้อคิด มันแสดงให้เห็นว่าความกลัวไม่ใช่สิ่งที่จะต้องหลีกหนีเสมอไป แต่บางครั้งมันก็สามารถเป็นแรงผลักดันให้เรากล้าเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่รู้ และค้นพบพลังที่ซ่อนอยู่ในตัวเราได้ แม้ว่าบางฉากอาจจะดูคลีเช่ไปบ้างตามสูตรหนังเด็ก แต่โดยรวมแล้ว Nightbooks ก็ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่น่าสนใจและสนุกสนานสำหรับผู้ชมทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ชื่นชอบเรื่องราวแฟนตาซีผสมสยองขวัญเล็กๆ น้อยๆ พร้อมกับข้อคิดดีๆ เกี่ยวกับความกล้าหาญและพลังของการเล่าเรื่องราว

หนัง

รีวิวหนัง The Old Guard 2 ต่อเติมจักรวาลนักรบพันธุ์อมตะ ที่จะเริ่มขยายกี่โมงเอ่ย

    การกลับมาของหนังแอคชันฟอร์มดีจากเน็ตฟลิกซ์ ที่ขอสารภาพตรง ๆ เลยว่าแทบจะไม่หลงเหลือความทรงจำเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้แล้ว แนะนำว่าถ้าใครจำไม่ได้ก็หาเปิดดูภาคแรกทบทวนกันสักหน่อยดี เพราะจะได้เข้าใจว่า The Old Guard 2 ภาคต่อของเหล่านักรบพันธุ์อมตะในครั้งนี้ ได้พานพบเรื่องราวใด ๆ มาบ้าง ที่นำมาสู่ชนวนเหตุของภาคใหม่ที่ดัดแปลงสร้างมาจากนิยายภาพและพยายามที่จะปลุกปั้นออกมาเป็นไตรภาคให้ลงได้สำหรับเรื่องราวในภาคต่อนี้ แอนดี้กับพวกพ้องนักรบอมตะ ได้กลับมาต่อสู้ด้วยเจตนารมณ์ที่แรงกล้ายิ่งกว่าเดิม เมื่อพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับศัตรูทรงพลังหน้าใหม่และน่าเกรงขาม เธอคนนั้นคือผู้ที่้้เฝ้ามองดูพวกเขามาตั้งแต่ยุคสมัยแห่งการเริ่มต้น และบัดนี้พยายามเข้ามาขัดขวางภารกิจปกป้องมนุษยชาติ พร้อมกับเธอยังต้องรับมือกับการหวนคืนมาของห้วงพลังอมตะที่นึกว่าสูญหายไปนานแล้วหนังยังคงสร้างมานิยายภาพของ เลอันโดร เฟอร์นานเดซ พร้อมกับยังได้ เกร็ก รุกกา มือเขียนบทกลับมาสานต่องานชิ้นนี้อีกครั้ง และยังคัมแบ็กด้วยทีมนักแสดงชุดเดิมที่คุ้นหน้ากันเป็นอย่างดี แต่จะมีเปลี่ยนแปลงก็คงจะเป็นผู้นำตำแหน่งใหญ่ของหนัง ที่เปลี่ยนผ่านมาเป็น วิคตอเรีย มาโฮนีย์รับหน้าที่กำกับแทน จีนา พรินซ์-ไบร์ทวูด ที่เคยสรรค์สร้างความปังเอาไว้จากภาคที่แล้ว แน่นอนว่ายังคงไว้วางใจฝีมือผู้กำกับหญิงเช่นเคย         แต่ก่อนจะเปิดหนังดูก็ได้ลองไปย้อนดูเครดิตผลงานของผู้กำกับหญิงที่มารับหน้าที่ดูแลงานสร้างในภาคนี้ ก็ต้องบอกตรง ๆ ว่าแทบไม่มีความคาดหวังอะไร ท่ามกลางความเลือนลางในเนื้อหาของภาคแรกที่นึกเท่าไหร่ก็ยังนึกไม่ออกได้แจ่มแจ้งเสียที แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เพราะผลลัพธ์ที่ออกมาใน The Old Guard 2 ค่อนข้างเจือจาง ไร้เสน่ห์ ไร้นิยาย และอาจจะไร้รสนิยมในความพยายามขยายจักรวาลที่ได้แค่มีเลข 2

Three Thousand Years of Longing
หนัง

รีวิวหนัง Three Thousand Years of Longing

Three Thousand Years of Longing คือผลงานการกำกับของ จอร์จ มิลเลอร์ ผู้สร้างสรรค์ภาพยนตร์ระดับตำนานอย่าง Mad Max ที่ในครั้งนี้ได้พาผู้ชมออกเดินทางสู่โลกแห่งจินตนาการ ตำนาน และความรักอันเป็นนิรันดร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้แตกต่างจากงานก่อนๆ ของเขาอย่างสิ้นเชิง โดยเน้นไปที่บทสนทนาอันลึกซึ้งและเรื่องเล่าที่ชวนหลงใหล มากกว่าฉากแอ็กชันหวือหวา แต่นั่นคือความงามที่แท้จริงของมัน เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อ อาลิเธีย บินนีย์ (รับบทโดย ทิลด้า สวินตัน) นักวิชาการด้านนิทานวิทยาผู้รักความสันโดษและมองโลกอย่างมีเหตุผล เดินทางไปตุรกีเพื่อเข้าร่วมการประชุม เธอได้บังเอิญเจอขวดแก้วเก่าแก่ใบหนึ่งในร้านขายของเก่า และเมื่อเธอนำมันกลับมาที่ห้องพักโรงแรม เธอก็ได้ปลดปล่อย จีนี่ (รับบทโดย ไอดริส เอลบา) ผู้ยิ่งใหญ่และสง่างามออกมา จีนี่เสนอพรสามประการตามธรรมเนียม แต่ด้วยความรู้เรื่องนิทานที่สั่งสมมา อาลิเธียจึงระแวงถึงผลลัพธ์ที่ตามมาจากการขอพร เธอเลือกที่จะฟังเรื่องราวชีวิตอันยาวนานกว่าสามพันปีของจีนี่แทน จากนั้น ภาพยนตร์ก็พาเราย้อนอดีตไปสู่ยุคสมัยต่างๆ ที่จีนี่ได้พบเจอผู้คนมากมาย ทั้งราชินีแห่งเชบา, สุไลมานผู้ชาญฉลาด, และเจ้าหญิงผู้ปรารถนาในความรัก เรื่องราวเหล่านี้ถูกเล่าขานด้วยภาพที่งดงามตระการตาและจินตนาการอันบรรเจิด ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความปรารถนาของมนุษย์ในยุคสมัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความรัก อำนาจ ความรู้ หรือแม้แต่ความอิสระ แต่ละเรื่องราวมีทั้งความสุข ความเศร้า ความหวัง และบทเรียนที่ส่งผ่านมาถึงปัจจุบัน หัวใจสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้คือบทสนทนาระหว่างอาลิเธียและจีนี่ ทั้งสองตัวละครต่างมีภูมิหลังและมุมมองชีวิตที่แตกต่างกัน อาลิเธียคือผู้ที่ยึดมั่นในข้อเท็จจริงและวิทยาศาสตร์ ในขณะที่จีนี่คือผู้ที่เผชิญหน้ากับโชคชะตาและความปรารถนามานับไม่ถ้วน การแลกเปลี่ยนเรื่องราวและความคิดเห็นของพวกเขาได้เปิดเผยแง่มุมใหม่ๆ ของความเป็นมนุษย์ และนำไปสู่ความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ทั้งคู่ต่างค้นพบความเชื่อมโยงและความเหงาในแบบของตัวเอง ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขางดงามและน่าติดตาม ไอดริส เอลบา ในบทจีนี่ แสดงให้เห็นถึงความสง่างาม ความลึกลับ และความอ่อนไหวได้อย่างน่าทึ่ง ส่วนทิลด้า สวินตัน ก็สวมบทบาทนักวิชาการผู้ซับซ้อนได้อย่างไร้ที่ติ เคมีระหว่างนักแสดงทั้งสองเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนเรื่องราว ทำให้บทสนทนาที่อาจดูเรียบง่ายกลับเต็มไปด้วยเสน่ห์และความหมาย Three Thousand Years of Longing ไม่ใช่ภาพยนตร์สำหรับทุกคนที่คาดหวังความเร็วและฉากแอ็กชัน แต่สำหรับผู้ที่ชื่นชอบเรื่องราวที่มีชั้นเชิง ภาพที่สวยงาม และการสำรวจแนวคิดเกี่ยวกับความรัก โชคชะตา และการเล่าเรื่อง นี่คือภาพยนตร์ที่ควรค่าแก่การรับชม มันชวนให้เราตั้งคำถามถึงความปรารถนาของเราเอง และตอกย้ำว่าบางครั้ง เรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็ไม่ได้มาจากอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ แต่มาจากความสัมพันธ์และการเชื่อมโยงที่มนุษย์มีต่อกัน.

หนัง

รีวิวหนัง Jurassic World Rebirth จูราสสิค เวิลด์ กำเนิดชีวิตใหม่

    เฉดเงาเดิมที่ยังเซอร์วิสฉ่ำหนึ่งเฟรนไชส์หนังสุดคลาสสิกที่ไม่ยอมล้มหายตายไปได้ง่าย ๆ ที่ยังพยายามมองหาลู่ทางและช่องในการสานต่อลมหายใจได้อยู่เรื่อย ๆ กลับมาหนนี้ก็แบกรับความกดดันที่หวังจะมีโอกาสได้สานต่อเป็นไตรภาคใหม่ หลังจากที่ไตรภาคที่แล้วเขาทำเอาไว้ได้ดีเหลือเกิน คัมแบ็กมาใน Jurassic World Rebirth จูราสสิค เวิลด์ กำเนิดชีวิตใหม่ การจุดประกายไฟแห่งวังวนผจญโลกไดโนเสาร์ครั้งใหม่ที่ยังน่าตื่นตาเหมือนเคย5 ปีหลังจากเหตุการณ์ไดโนเสาร์อุบัติออกมาสู่โลกกว่าง แต่บัดนี้เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าระบบนิเวศของโลกใบนี้ไม่เหมาะสมกับการอยู่อาศัยของไดโนเสาร์ จึงทำให้เหล่าไดโนเสาร์ที่หลงเหลืออยู่ ต้องอาศัยอยู่ในสถานที่ห่างไกลในแถบเส้นศูนย์สูตรที่สภาพอากาศคล้ายคลึงกับยุคเรืองรองที่พวกมันเป็นเจ้าของโลกใบนี้ และสิ่งมีชีวิตยักษ์ใหญ่สามตัวที่อยู่อาศัยในแถบป่าดิบชื้นแห่งนี้ ก็ได้เป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การสร้างยารักษาที่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการช่วยชีวิตมนุษย์ชาติสำหรับหนังภาคนี้ได้หนึ่งในผู้กำกับไฟแรงที่คิวฮอตเป็นว่าเล่น อย่าง “แกเร็ธ เอ็ดเวิร์ดส์” มารับหน้าที่ดูแลงานสร้าง นับว่าเป็นอีกครั้งที่เขาได้รับความไว้วางใจให้มาจัดการละเลงงานสร้างหนังระดับเฟรนไชส์ใหญ่อีกครั้ง ที่แน่นอนว่าประสบการณ์อันเรืองรองนับสิบปี นับตั้งแต่เขาแจ้งเกิดมาจากภาคแยกหนังสตาร์วอร์สเรื่องดัง ก็เป็นการเพาะบ่มที่เหมาะเจาะในการนำมาสู่จักรวาลไดโนเสาร์ที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ และเขาก็รับมือกับมันได้อย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ          ในแง่งานสร้างใน Jurassic World Rebirth แทบไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงเลย เพราะคุณจะสามารถไว้วางใจกับวิสัยทัศน์และมุมมองการถ่ายทอดหนังของแกเร็ธได้อย่างสบายใจ ทิศทางหนังในฝีมือเขามักจะเต็มไปด้วยลูกเล่นที่น่าสนใจเสมอ ๆ ยิ่งครั้งนี้บุกป่าฝ่าดงลงทะเลในงานสร้างที่ทุนหนาด้วยแล้ว เขาก็จัดให้แบบไม่ยั้งมือ แม้ว่าส่วนประกอบมากมายของหนังก็คือการทำงานร่วมกับงานซีจีและเทคนิคพิเศษเสริมตลอดทั้งเรื่องก็ตาม แต่งานดีไซน์ก็ยังชวนตื่นตะลึงได้ดีแล้วกิมมิกของความเป็นแกเร็ธ ที่ใส่มาได้ลงล็อกกับแนวถนัดของเขาพอดี ก็คือการเซอร์วิสแฟน ๆ หนังชุดนี้ด้วยโทนบรรยากาศแห่งความระทึกขวัญเขย่าขวัญ กลายเป็นหนังจูราสสิคที่ยังคงสอดแทรกการผจญภัยที่เต็มไปด้วยภัยอันตรายรายล้อมชวนหายใจหายคอไม่ทั่วท้องอยู่ตลอดเรื่อง นี่คือไฮไลต์อันเป็นเสน่ห์ที่หนังสามารถกระทำการเซอร์วิสแฟนหนังชุดนี้ได้อย่างน่าพึงพอใจและบันเทิงได้ดีแท้แน่นอนขณะที่งานเทคนิคพิเศษและออกแบบซีจีต่าง ๆ ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีใช้ได้ตามมาตรฐานความเป็นจูราสสิค สำหรับในภาคนี้อาจจะไม่ได้เห็นจังหวะการเสิร์ฟความตื่นตาเกี่ยวกับไดโนเสาร์พันธุ์น่ารู้มากเท่าไหร่ แต่ก็ยังมีสอดแทรกชวนเคลิ้มได้อยู่ ผนวกกับความพยายามสร้างไดโนเสาร์สายพันธุ์ที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรม ที่นับว่าเป็นความทะเยอทะยานครั้งใหม่ของหนังชุดนี้

Scroll to Top