ซีรี่ส์

ซีรี่ส์

black-mirror-happy-endings
ซีรี่ส์

รีวิวซีรีส์ Black Mirror (แบล็ก มิร์เรอร์)

ซีรีส์แนวไซไฟ ระทึกขวัญ Black Mirror จากประเทศอังกฤษที่สร้างโดย Charlie Brooker ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในปี 2011 และได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในหมู่ผู้ชมที่สนใจประเด็นเกี่ยวกับเทคโนโลยี อนาคต และผลกระทบทางสังคม ซีรีส์เรื่องนี้มีลักษณะเด่นคือเป็น anthology series หรือซีรีส์แบบเรื่องสั้นแต่ละตอนมีเนื้อเรื่องและตัวละครที่ไม่เกี่ยวข้องกัน ซึ่งช่วยให้ผู้ชมสามารถเลือกดูตอนใดตอนหนึ่งได้โดยไม่ต้องดูเรียงตามลำดับ จุดแข็งของ Black Mirror คือความสามารถในการจับประเด็นร่วมสมัย เช่น การเสพติดโซเชียลมีเดีย ปัญญาประดิษฐ์ (AI) การควบคุมจิตใจ เทคโนโลยีการสอดแนม และโลกเสมือน มาเล่าใหม่ในรูปแบบสุดโต่งที่กระตุ้นความคิดและตั้งคำถามถึงจริยธรรม เทคโนโลยี และสังคมในอนาคต หนึ่งในตอนที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดคือ “San Junipero” จากซีซั่น 3 ซึ่งแตกต่างจากตอนอื่นที่มักมีโทนหม่นหมอง เพราะตอนนี้เล่าเรื่องความรักระหว่างผู้หญิงสองคนในโลกเสมือนที่ใช้สำหรับเก็บจิตสำนึกของผู้เสียชีวิต ถือเป็นตอนที่อบอุ่นและให้ความหวัง ในขณะที่ตอนอย่าง “White Bear” หรือ “Shut Up and Dance” สะท้อนด้านมืดของความยุติธรรมและการลงโทษผ่านเทคโนโลยีอย่างถึงพริกถึงขิง   ซีรีส์นี้ยังมีความหลากหลายในแง่ของโทนและแนวเรื่อง บางตอนเป็นดราม่าลึกซึ้ง เช่น “Be Right […]

The Crown
ซีรี่ส์

รีวิวซีรีส์ The Crown เมื่อราชวงศ์กลายเป็นละครที่ยิ่งใหญ่กว่าความจริง

ซีรีส์ดราม่าชีวิตจริง The Crown ที่บอกเล่าเรื่องราวของราชวงศ์อังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิตของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 นับตั้งแต่การขึ้นครองราชย์ในช่วงปี 1950s ไปจนถึงเหตุการณ์สำคัญในศตวรรษที่ 21 ซีรีส์นี้ไม่เพียงแค่บอกเล่าเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่ยังเปิดเผยให้เห็นเบื้องหลังอารมณ์ ความขัดแย้ง และภาระหนักอึ้งที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความหรูหราและเกียรติยศของราชวงศ์ หนึ่งในจุดแข็งที่สุดของ The Crown การเล่าเรื่องที่มีจังหวะนิ่งลึกแต่เข้มข้น ทุกตอนนำเสนอช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์อังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตการณ์ซูเอซ สงครามฟอล์กแลนด์ หรือความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์กับเจ้าหญิงไดอานา โดยแต่ละเหตุการณ์ถูกนำเสนอผ่านมุมมองของราชวงศ์และบุคคลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสร้างอารมณ์ร่วมและทำให้ผู้ชมได้เข้าใจว่าเบื้องหลังคำว่า “หน้าที่” นั้นหมายถึงอะไร อีกสิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือความอลังการของโปรดักชัน ลงทุนอย่างมหาศาลในด้านเครื่องแต่งกาย ฉาก และสถานที่ถ่ายทำ ทุกสิ่งได้รับการออกแบบให้ใกล้เคียงกับของจริงมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นพระราชวังบักกิงแฮม ห้องทรงงาน หรือแม้กระทั่งรายละเอียดเล็ก ๆ อย่างเครื่องเพชรของราชินี ล้วนถูกถ่ายทอดออกมาด้วยความประณีต ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปอยู่ในยุคนั้นจริง ๆ   การเลือกนักแสดงของซีรีส์นี้ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญ โดยแต่ละซีซันจะมีการเปลี่ยนนักแสดงตามช่วงวัยของตัวละคร ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาด เพราะช่วยเพิ่มความสมจริงและต่อเนื่องในเชิงเวลายิ่งขึ้น แคลร์ ฟอย ในบทสมเด็จพระราชินีช่วงวัยสาว ถ่ายทอดความสับสนและความแข็งแกร่งได้อย่างยอดเยี่ยม ส่วนโอลิเวีย โคลแมน ที่มารับไม้ต่อในวัยกลางคน ก็สามารถถ่ายทอดความเงียบขรึมและความเจ็บปวดจากภาระของราชินีได้อย่างลึกซึ้ง ขณะเดียวกัน เอ็มมา คอร์ริน

ซีรีส์แนวแฟนตาซีดราม่า
ซีรี่ส์

รีวิวซีรีส์ Game of Thrones แนวแฟนตาซีดราม่า

เป็นซีรีส์แนวแฟนตาซีดราม่า Game of Thrones ที่สร้างจากนิยายชุด A Song of Ice and Fire ของ George R.R. Martin ออกอากาศครั้งแรกในปี 2011 และจบลงในปี 2019 รวมทั้งหมด 8 ซีซัน ผลิตโดย HBO ด้วยงบประมาณมหาศาลและทีมงานคุณภาพ ซีรีส์นี้กลายเป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 21 เนื้อเรื่องหลักของ Game of Thrones วนเวียนอยู่กับการแย่งชิงบัลลังก์เหล็ก (Iron Throne) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจสูงสุดของทวีปเวสเทอรอส (Westeros) บรรดาเหล่าขุนนางจากตระกูลต่าง ๆ เช่น Stark, Lannister, Targaryen, Baratheon และ Greyjoy ต่างก็พยายามช่วงชิงอำนาจ โดยที่เบื้องหลังมีทั้งการเมือง การทรยศ ความรัก และเวทมนตร์ที่เริ่มกลับมาอีกครั้งหลังจากห่างหายไปนาน หนึ่งในจุดแข็งของซีรีส์นี้คือการสร้างตัวละครที่มีมิติ ไม่แบ่งแยกขาว-ดำอย่างชัดเจน ตัวละครอย่าง Tyrion Lannister

หน้ากากดาลี
ซีรี่ส์

รีวิวซีรีส์ Money Heist (La Casa de Papel)

ในซีรี่ส์เรื่อง Money Heist (ชื่อภาษาสเปน: La Casa de Papel) เป็นซีรีส์แนวอาชญากรรมจากสเปนที่สร้างโดย Álex Pina ซึ่งกลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลกหลังจากที่ Netflix นำมาฉายทั่วโลก ซีรีส์เรื่องนี้เปิดตัวครั้งแรกในปี 2017 และมีทั้งหมด 5 พาร์ต (รวม 41 ตอน) โดยแต่ละตอนเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ฉากดราม่าที่ตราตรึง และแผนการที่ชาญฉลาด เรื่องราวเริ่มต้นจากชายลึกลับที่ใช้ชื่อว่า “ศาสตราจารย์” (The Professor) วางแผนปล้นโรงกษาปณ์ของสเปนด้วยการรวบรวมกลุ่มอาชญากรที่มีความสามารถเฉพาะตัว โดยแต่ละคนใช้ชื่อเมืองเป็นโค้ดเนม เช่น โตเกียว, เบอร์ลิน, ไนโรบี, เดนเวอร์, ริโอ ฯลฯ เป้าหมายของพวกเขาคือการพิมพ์เงินกว่า 2.4 พันล้านยูโร โดยต้องควบคุมสถานที่ กำจัดอุปสรรคจากตำรวจ และประคับประคองความสัมพันธ์ในกลุ่มที่ตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่โดดเด่นใน Money Heist คือบทที่เขียนอย่างมีชั้นเชิง ตัวละครมีมิติและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ผู้ชมจะค่อยๆ เข้าใจว่าเบื้องหลังการปล้นนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของเงิน แต่ยังสะท้อนถึงการต่อต้านระบบ เผด็จการ การเมือง และชนชั้นในสังคมอย่างแหลมคม

Breaking Bad
ซีรี่ส์

รีวิวซีรีย์ Breaking Bad ดีที่สุดตลอดกาล

ซีรีย์ที่ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในซีรีย์ที่ดีที่สุดตลอดกาล Breaking Bad ผลงานสร้างโดย Vince Gilligan ที่ได้รับความนิยมและการยอมรับในวงกว้าง ไม่เพียงแต่จากนักวิจารณ์และผู้ชมทั่วไป แต่ยังได้รับรางวัลและคำชมจากหลายสถาบันในวงการบันเทิง ซีรีย์เรื่องนี้เต็มไปด้วยการถ่ายทอดเรื่องราวที่เข้มข้น การพัฒนาของตัวละคร และการแสดงที่ทรงพลังที่ทำให้ผู้ชมไม่สามารถละสายตาไปจากหน้าจอได้   เล่าเรื่องของ วอลเตอร์ ไวท์ (Bryan Cranston) ครูวิทยาศาสตร์ที่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งปอดในระยะสุดท้าย ซึ่งทำให้เขาตัดสินใจที่จะหาวิธีเพื่อให้ครอบครัวของเขามีเงินใช้หลังจากที่เขาจากไป เขาจึงตัดสินใจเข้าสู่โลกมืดของการผลิตและขายยา คริสตัลเมธ ร่วมกับอดีตนักเรียนของเขา เจสซี่ พิงค์แมน (Aaron Paul) วอลเตอร์เริ่มจากการทำเพื่อครอบครัว แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองมีอำนาจและความสามารถในการควบคุมโลกใต้ดินนี้ และความชั่วร้ายเริ่มแทรกซึมเข้าสู่ตัวเขาอย่างช้าๆ จนเกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวละครที่รุนแรง สิ่งที่ทำให้ Breaking Bad มีความพิเศษคือการพัฒนาของตัวละครหลัก โดยเฉพาะวอลเตอร์ ไวท์ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ผู้ชมต้องตั้งคำถามว่าเขาคือผู้ถูกกระทำหรือผู้กระทำความชั่วในท้ายที่สุด การเปลี่ยนแปลงนี้เริ่มต้นจากความหวังดีที่เขามีให้กับครอบครัว แต่เมื่อเขาเข้าสู่โลกของยาเสพติด เขากลับกลายเป็น “Heisenberg” บุคลิกที่เต็มไปด้วยความเยือกเย็นและความรุนแรง และมีความทะเยอทะยานที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เจสซี่ พิงค์แมนก็เป็นอีกตัวละครที่มีการพัฒนาอย่างชัดเจนจากเด็กหนุ่มที่เริ่มต้นเป็นผู้ค้าและผลิตยาไปสู่การต่อสู้กับความผิดบาปและความรู้สึกผิดที่เขามี ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามหลีกหนีจากโลกมืดนี้ เขาก็ยังคงไม่สามารถหลุดพ้นจากมันได้   เขียนได้อย่างมีชั้นเชิง โดยเฉพาะในเรื่องของการแทรกแซงจิตใจของตัวละครและการทำให้ผู้ชมรู้สึกถึงความกดดันในทุกๆ ตอน ตัวซีรีย์ใช้เทคนิคการเล่าเรื่องที่ทำให้ผู้ชมได้สัมผัสกับความดาร์กและความไม่แน่นอนในทุกสถานการณ์ การสร้างความตึงเครียดนั้นทำได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยการใช้การตัดต่อที่คมคาย

ซีรี่ส์

รีวิวซีรีส์ Stranger Things: ไซไฟ ลึกลับที่ครองใจคนทั้งโลก

ซีรีส์  Stranger Things คือหนึ่งในซีรีส์ที่สร้างปรากฏการณ์ทั่วโลกตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2016 ทาง Netflix ด้วยการผสมผสานระหว่างไซไฟ ลึกลับ และกลิ่นอายวินเทจยุค 80 ได้อย่างลงตัว ซีรีส์เรื่องนี้ถูกสร้างโดยพี่น้องดัฟเฟอร์ (Duffer Brothers) ซึ่งสามารถถ่ายทอดความระทึก ความอบอุ่นของมิตรภาพ และความน่ากลัวของสิ่งลึกลับออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ในบทความนี้ เราจะมาเจาะลึกกันว่าทำไมถึงกลายเป็นซีรีส์ขวัญใจคนดูทั่วโลก เรื่องราวเริ่มต้นที่เมืองเล็ก ๆ ชื่อฮอว์กินส์ รัฐอินเดียนา เมื่อเด็กชายคนหนึ่งชื่อ “วิล ไบเออร์ส” หายตัวไปอย่างลึกลับ ครอบครัวของเขา เพื่อน ๆ และนายอำเภอฮอปเปอร์ต่างช่วยกันตามหา ระหว่างนั้นเอง เด็กหญิงปริศนาคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น เธอมีพลังเหนือธรรมชาติและรู้เรื่องราวบางอย่างเกี่ยวกับโลกคู่ขนานที่ชื่อว่า “Upside Down” แม้จะเป็นพล็อตที่ดูเหมือนหนังไซไฟทั่วไป แต่ Stranger Things เล่าเรื่องได้อย่างมีชั้นเชิง สอดแทรกปริศนาและบรรยากาศสยองขวัญได้อย่างพอดี แต่ยังคงเน้นที่สายสัมพันธ์ของตัวละครและความเป็นมนุษย์ในสถานการณ์เหนือธรรมชาติ   หนึ่งในจุดแข็งที่สุดของ Stranger คือการคัดเลือกนักแสดง โดยเฉพาะกลุ่มนักแสดงเด็กอย่าง มิลลี่ บ็อบบี้ บราวน์ (Eleven), ฟินน์ วูล์ฟฮาร์ด

The Last of Us
ซีรี่ส์

รีวิวซีรีส์: The Last of Us (2023)

ซีรีส์ The Last of Us ที่สร้างจากเกมชื่อดังของ PlayStation โดยได้รับการพัฒนาจาก HBO ซีรีส์นี้ได้กลายเป็นหนึ่งในเรื่องที่พูดถึงมากที่สุดในปี 2023 ด้วยการผสมผสานระหว่างเนื้อหาที่เข้มข้นและการสร้างโลกที่สมจริง พร้อมกับการแสดงที่ยอดเยี่ยมจาก Pedro Pascal และ Bella Ramsey การเดินเรื่องที่ชวนติดตาม และความลึกซึ้งทางอารมณ์ที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร   เกิดขึ้นในโลกหลังวันสิ้นโลกที่ถูกทำลายจากการระบาดของเชื้อไวรัส Cordyceps ซึ่งทำให้มนุษย์กลายพันธุ์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความโหดร้าย เรียกว่า “Clickers” ผู้รอดชีวิตจากการระบาดต้องอาศัยอยู่ในเขตเมืองที่ถูกกักขังภายใต้การควบคุมของรัฐบาลทหารหรือกลุ่มต่างๆ ที่มีอำนาจ ซีรีส์เริ่มต้นจากการเล่าเรื่องราวของ Joel (Pedro Pascal) ผู้ที่สูญเสียลูกสาวไปในวันแรกของการระบาด และ Ellie (Bella Ramsey) เด็กสาวที่มีความสำคัญต่อการรักษาทางการแพทย์จากการที่เธอมีภูมิคุ้มกันจากไวรัสนี้ ในการเดินทางของทั้งสอง การต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดจากทั้งผู้ติดเชื้อและมนุษย์ที่ไม่หวังดีเป็นเรื่องหลัก แต่สิ่งที่ทำให้ซีรีส์นี้พิเศษคือการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครหลักที่ค่อยๆ เติบโตไปตามเนื้อเรื่อง การแสดงของ Pedro Pascal และ Bella Ramsey เป็นสิ่งที่โดดเด่นที่สุดในซีรีส์นี้ ทั้งคู่ถ่ายทอดความรู้สึกได้อย่างลึกซึ้ง เริ่มตั้งแต่ Joel ที่เป็นคนแข็งกระด้างที่ซ่อนความเจ็บปวดจากการสูญเสียลูกสาว จนถึงการที่เขาเริ่มมีความผูกพันกับ Ellie

รีวิวซีรี่ส์เกมหมากรุก
ซีรี่ส์

รีวิวซีรีส์ The Queen’s Gambit หมากรุกไม่เคยน่าดูเท่านี้มาก่อน

ซีรีส์ The Queen’s Gambit ไม่ใช่แค่ซีรีส์ที่พูดถึงการแข่งขันหมากรุก แต่มันคือภาพสะท้อนการเติบโต ความสูญเสีย การเสพติด และความพยายามในการเอาชนะเงาของอดีตอย่างทรงพลัง ซีรีส์ความยาว 7 ตอนจาก Netflix นี้สร้างจากนิยายชื่อเดียวกันของ Walter Tevis และได้รับเสียงชื่นชมถล่มทลายตั้งแต่วันแรกที่ออกฉาย เรื่องราวติดตามชีวิตของ เบธ ฮาร์มอน เด็กกำพร้าผู้เงียบขรึมที่ค้นพบพรสวรรค์ในการเล่นหมากรุกตั้งแต่อายุเพียง 9 ขวบ เธอเรียนรู้เทคนิคหมากรุกจากภารโรงที่สถานเลี้ยงเด็ก และแสดงให้เห็นว่าเธอไม่ใช่แค่เด็กอัจฉริยะธรรมดา แต่คือ “อัจฉริยะที่เต็มไปด้วยปัญหา” ตลอดเส้นทางการเป็นนักหมากรุกระดับโลก เบธต้องเผชิญกับการต่อสู้มากมาย — ทั้งในสนามแข่งขันและภายในจิตใจของเธอเอง ซีรีส์ถ่ายทอดประเด็น การเป็นผู้หญิงในโลกของผู้ชาย ได้อย่างเฉียบคม เบธต้องพิสูจน์ตัวเองในวงการหมากรุกที่ผู้ชายครองอยู่แทบทั้งหมด แม้ว่าเธอจะเก่งแค่ไหน เธอก็ยังถูกตั้งคำถามและมองข้ามเสมอ Anya Taylor-Joy คือหัวใจของซีรีส์เรื่องนี้ เธอแสดงเป็นเบธได้อย่างทรงพลัง ถ่ายทอดทั้งความเฉียบแหลม ความหม่นเศร้า ความเย่อหยิ่ง และความเปราะบางได้ในเวลาเดียวกัน ทุกสีหน้า ท่าทาง และแววตาของเธอสะกดผู้ชมอย่างแท้จริง โดยเฉพาะฉากการแข่งขันหมากรุกที่ไร้บทสนทนา แต่กลับตึงเครียดได้อย่างเหลือเชื่อ นักแสดงสมทบอย่าง Thomas Brodie-Sangster, Harry Melling และ

The Glory
ซีรี่ส์

รีวิวซีรีส์ The Glory ศิลปะแห่งการล้างแค้นที่งดงามและโหดร้าย

ในซีรีส์ The Glory ถ่ายทอดเรื่องราวของ “มุนดงอึน” หญิงสาวที่เคยถูกกลั่นแกล้งอย่างทารุณสมัยเรียนมัธยมจนชีวิตพังพินาศ เธอแบกรับบาดแผลทั้งร่างกายและจิตใจมาตลอดหลายปี จนตัดสินใจวางแผนการแก้แค้นอย่างพิถีพิถัน และใช้เวลานานกว่าสิบปีเพื่อรอจังหวะที่เหมาะสม การแก้แค้นของเธอไม่ได้พุ่งเป้าเพียงผู้กระทำเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทุกคนที่เคยเพิกเฉยต่อความทุกข์ของเธอด้วย คิมอึนซุก ที่เราคุ้นเคยกับงานโรแมนติกอย่าง Goblin หรือ Mr. Sunshine พลิกแนวมาจับเรื่องการแก้แค้นได้อย่างหนักแน่น ทุกบทสนทนาเต็มไปด้วยอารมณ์ ความเก็บกด และการจิกกัดแบบเย็นชา เนื้อเรื่องวางโครงไว้อย่างละเอียดรัดกุม ทำให้การดำเนินเรื่องเต็มไปด้วยแรงกดดัน และค่อย ๆ พาผู้ชมไต่ระดับอารมณ์ไปเรื่อ ๆ ซงฮเยคโย ในบท “มุนดงอึน” คือการพลิกบทบาทครั้งใหญ่ เธอใช้แววตา ท่าทาง และพลังเงียบถ่ายทอดความเจ็บปวดและโกรธแค้นออกมาได้สมจริงจนขนลุก ขณะที่อิมจียอน ในบท “พัคยอนจิน” ก็ทำได้ยอดเยี่ยมจนคนดูเกลียดตัวละครของเธอแบบไม่รู้ตัว   โทนภาพที่หม่นหมอง สีสันเย็นเฉียบ และมุมกล้องที่บีบคั้นอารมณ์ ช่วยส่งเสริมบรรยากาศให้รู้สึกอึดอัดและตึงเครียดตลอดเรื่อง ส่วนดนตรีประกอบช่วยเร่งอารมณ์ในฉากสำคัญ ๆ ได้อย่างลงตัว บางช่วงของเรื่องเน้นการวางแผนและการวิเคราะห์มากกว่าการลงมือ ทำให้จังหวะของบางตอนดูเนือยสำหรับคนที่คาดหวังแอ็กชันตื่นเต้นตลอดเวลาแม้ว่าส่วนใหญ่ของแผนการจะดูรอบคอบ แต่บางเหตุการณ์ดูเหมือนอาศัยโชคและความบังเอิญมากกว่าความสมเหตุสมผลจริง ๆ ซึ่งอาจทำให้บางคนรู้สึกติดขัดอยู่บ้าง   The Glory คือซีรีส์ที่ไม่ได้ขายเพียงความระทึกใจของการล้างแค้นเท่านั้น

รีวิวซีรีส์ The White Lotus SS3
ซีรี่ส์

รีวิวซีรีส์ The White Lotus SS3

The White Lotus SS3 ซีรีส์ชื่อดังเรื่องนี้เลือกถ่ายทำในประเทศไทยที่ภูเก็ต โดยใช้รีสอร์ตในเครืออนันตราเป็นฉากหลัก และได้รับการสนับสนุนจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีไฮไลต์พิเศษคือการเปิดตัวลิซ่า BLACKPINK ในผลงานการแสดงครั้งแรก ด้วยองค์ประกอบที่น่าสนใจเหล่านี้ ทำให้ผู้เขียนที่ไม่เคยดูมาก่อนต้องย้อนกลับไปรับชมตั้งแต่ซีซั่นแรกเลยทีเดียว จากการรับชม ผู้เขียนพบว่าทั้งสามซีซั่นมีโครงเรื่องคล้ายคลึงกัน เปิดฉากด้วยการเผยให้เห็นศพปริศนา โดยไม่เฉลยว่าเป็นใคร จากนั้นย้อนเล่าเหตุการณ์หนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้า ตามติดชีวิต ของเหล่านักท่องเที่ยวที่มาพักที่ โรงแรม White Lotus ซึ่งมีสาขาอยู่ทั่วโลก (ซีซั่น 1 ที่ฮาวาย ซีซั่น 2 ที่อิตาลี และซีซั่น 3 ที่ไทย) ระหว่างการพักผ่อน เราจะได้เห็นดราม่าและเรื่องราวชีวิตของแขกแต่ละคนในเชิงเสียดสีสังคม ควบคู่ไปกับความยุ่งยากของพนักงานต้อนรับที่ต้องมาพัวพันกับแขกเหล่านั้น ก่อนที่ตอนสุดท้ายจะเฉลยว่าศพในฉากเปิดเรื่องคือใคร และจบด้วยบทส่งท้ายสั้นๆ มีการสร้างตัวละครแขกทุกคนที่มีเรื่องราวซับซ้อนและน่าปวดหัว มีการ เสียดสีสังคม อย่างแสบสันต์ ตัวอย่างเช่น มิตรภาพระหว่างเพื่อนรักที่เพิ่งได้เห็น “ธาตุแท้” ของกันและกัน ประเด็นการเมืองอเมริกันเรื่องการเลือกทรัมป์และการอาศัยอยู่ในรัฐเท็กซัส (ซึ่งเป็นมุกตลกที่อาจเข้าใจยากสำหรับคนไทย) ครอบครัวอเมริกันที่ร่ำรวยแต่กำลังเผชิญหายนะเมื่อพ่อถูกทางการเตรียมจับกุมเมื่อกลับประเทศ ทำให้ครอบครัวเสี่ยงต่อการล้มละลาย จนเขาพยายามหาทางออกด้วยการฆ่าตัวตาย ลูกสาวคนเล็กที่สนใจศึกษาพุทธศาสนาในไทย ซึ่งเรื่องนำเสนอความขัดแย้งระหว่างหลักความพอเพียงกับนิสัยฟุ้งเฟ้อของเธอ ลูกชายสองคนที่พยายามทำตัวเป็น “ผู้ชาย” ในแบบที่ผิดๆ

Scroll to Top