หนัง

หนัง

เรื่องนี้จึงเปรียบเสมือนจดหมายรักฉบับสุดท้ายที่เขาเขียนถึงวัยเด็ก ความตาย ความเศร้า และชีวิต
หนัง

The Boy and The Heron เด็กชายกับนกกระสา

The Boy and the Heron เป็นภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องล่าสุดจากปรมาจารย์ผู้กำกับ ฮายาโอะ มิยาซากิ หลังจากประกาศเกษียณไปหลายครั้งแต่ก็กลับมาสร้างผลงานใหม่อีกครั้งในวัย 82 ปี เรื่องนี้จึงเปรียบเสมือนจดหมายรักฉบับสุดท้ายที่เขาเขียนถึงวัยเด็ก ความตาย ความเศร้า และชีวิต ภาพยนตร์เล่าเรื่องของ มาฮิโตะเด็กชายวัย 11 ปีที่สูญเสียแม่จากเหตุการณ์ไฟไหม้ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เขาจำต้องย้ายไปอยู่กับพ่อซึ่งแต่งงานใหม่กับน้องสาวของแม่ในชนบท ห่างไกลผู้คนและเต็มไปด้วยบรรยากาศแปลกประหลาด ที่นั่นเขาได้พบกับนกกระสาตัวหนึ่งที่พูดได้ และค่อย ๆ ลากเขาเข้าสู่โลกแฟนตาซีที่ดูสวยงามแต่อึดอัด เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตประหลาด ความทรงจำที่บิดเบี้ยว และคำถามที่ไม่มีคำตอบ แม้ในตอนแรกเรื่องราวจะดูคล้ายการผจญภัยตามแบบฉบับของจิบลิ แต่เมื่อดำเนินไปลึกขึ้นเรื่อย ๆ ผู้ชมจะสัมผัสได้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องราวของการต่อสู้กับอสูรร้ายหรือการช่วยโลก แต่คือการเผชิญหน้ากับจิตใจของตัวเองของเด็กคนหนึ่งที่แบกรับความสูญเสียหนักหนาสาหัสเกินวัย เขาไม่สามารถร้องไห้ต่อหน้าพ่อเขาเก็บความเจ็บปวดไว้ในใจ และเมื่อโลกแฟนตาซีเปิดออก มันคือพื้นที่เดียวที่เขาได้เผชิญหน้ากับความรู้สึกที่แท้จริงสิ่งที่โดดเด่นใน The Boy and the Heron คือการใช้สัญญะและภาพแทนมากมาย ตัวนกกระสาที่ดูไม่น่าไว้ใจในตอนต้น กลับกลายเป็นกุญแจสำคัญของเรื่องราว ตัวละครหลายตัวปรากฏและหายไปอย่างไม่ชัดเจน ราวกับฝันที่เลือนลาง และโลกทั้งใบที่มาฮิโตะเดินทางผ่าน ก็เปรียบได้กับการเดินทางภายในจิตใจ เพื่อทำความเข้าใจความตาย การเกิด และการยอมรับการเปลี่ยนแปลงของชีวิต งานภาพของเรื่องยังคงสวยงามตามแบบฉบับของจิบลิ เต็มไปด้วยความละเอียดอ่อน อารมณ์ และจินตนาการที่ไม่เคยหมดอายุ แม้ฉากแฟนตาซีจะล้ำจินตนาการ แต่กลับสะท้อนความเป็นจริงในใจมนุษย์ได้ชัดเจนกว่าภาพชีวิตจริงเสียอีก เสียงดนตรีประกอบโดยโจ […]

หนัง

รีวิวหนัง The Match เดอะ แมตช์ ลํานําเซียนหมากล้อมในตำนานของเกาหลี

        หนึ่งในเกมการแข่งขันที่ดุเดือดและได้รับความนิยมไม่น้อยในเกาหลี อย่าง เกมบาดุก, เกมโกะ หรือ หมากล้อม ที่นับว่าเป็นอีกหนึ่งเกมที่ได้ยกระดับจากกิจกรรมอดิเรกมาเป็นการแข่งขันที่พัฒนาสร้างแชมป์และเซียนได้อย่างต่อเนื่อง และนี่ก็คือการตีแผ่ตำนานเซียนหมากล้อมที่ยิ่งใหญ่ของเกาหลีทั้งสองคน ออกมาเป็น The Match เดอะ แมตช์ ที่วาดลวดลายการกำเนิดของ 2 เซียนหมากล้อมผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนกิมจิ เรื่องราวและเส้นทางสู่การเป็นเซียนระหว่างศิษย์กับอาจารย์หมากล้อมในตำนานของเกาหลี อย่าง โชฮันฮยอน กับ อีชางโฮ พวกเขาทั้งคู่ที่ได้ชื่อว่าเป็นโปรสุดยิ่งใหญ่ที่มีการจารึกเอาไว้ในวงการหมากล้อมของโลก การผลักดันและปลุกปั้นที่นำมาสู่การเป็นคู่ต่อสู้ในเกมบนกระดานที่เต็มไปด้วยชั้นเชิงไหวพริบ ที่ผนวกเข้ากับแรงกดดันมหาศาล ที่นำพาทั้งคู่ไปสู่ห้วงแห่งศักดิ์ศรีที่ดุเดือดที่สุดเท่าที่เคยมีมา หมากล้อม อาจจะเป็นเกมที่บางคนมองว่าเป็นการแข่งขันที่เงียบงันและไร้เสน่ห์ เป็นแค่เพียงการชิงไหวพริบเดินเกมระหว่างแค่คนสองคน แต่จริง ๆ แล้วรายละเอียดในการเดินหมากแต่ละตัวต้องพาการคิดวิเคราะห์อย่างครอบคลุม ยิ่งมีศักดิ์ศรีความเป็นเซียนค้ำคออยู่ ยิ่งต้องแบกรับสถานการณ์กดดันอยู่หน้ากระตานตรงหน้า นั่นจึงกลายเป็นเสน่ห์อันท้าทายของเกมหมากล้อม ที่ภายนอกอาจจะดูน่าเบื่อ แต่ก็รายล้อมไปด้วยสิ่งที่น่าค้นหามากมายเช่นกัน         นี่คือผลงานการกำกับและเขียนบทของ คิมฮยองจู นักสร้างหนังหน้าใหม่ที่อาจจะยังไม่มีชิ้นงานที่โดดเด่นเท่าไหร่นัก แต่ได้ก้าวขึ้นมาหยิบจับงานสร้างผลงานชิ้นใหญ่เรื่องนี้เลย ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคนิคและองค์ประกอบงานสร้างใน The Match อาจจะไม่ได้มีอะไรที่แปลกใหม่นัก หนังยังวนไปใช้สูตรความสำเร็จตามสไตล์หนังเกาหลีลักษณะนี้ที่ต้องยอมรับว่า วงการหนังเกาหลียังเก็บรายละเอียดงานสร้างได้ค่อนข้างน่าพอใจแต่ต้องยอมรับว่า The Match มีสตอรี่และเรื่องราวที่ค่อนข้างส่งเสริมตัวหนังได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว เพราะความทรงพลังของเกมการแข่งขันระหว่างครูกับศิษย์ นับว่าเป็นการเดินหมากสร้างประเด็นในหนังให้รู้สึกหนักแน่นขึ้นได้ดีขึ้น

รีวิวหนัง สุดสยดสยอง "พนอ"
หนัง

รีวิวหนัง สุดสยดสยอง พนอ

รีวิวหนัง สุดสยดสยอง พนอ ปลุกความเสียวสยองเกือบทุกสองนาทีไม่เกินจริง เพราะการกลับมาปล่อยของ สามารถทำให้ผู้ชมขนลุกขนพองและเผลอร้องออกมาด้วยความน่าสยดสยอง โดยพนอเป็นหนึ่งในแฟรนไชส์ของ “ลองของ” ซึ่งประสบความสำเร็จทั้งในไทยและหลายประเทศทั่วโลกมาแล้ว ทำให้การนำพล็อตเนื้อหาความเชื่อทางไสยศาสตร์และความต้องการในการตีแผ่ต้นกำเนิดตัวละครของ พนอ เปี่ยมด้วยความท้าทายในการร้อยเรียงมิติคาแรกเตอร์ของตัวละคร และร้อนแรงด้วยคุณไสยที่แทบจะไม่ได้พักหายใจหายคอกันเลย เป็นความท้าทายในพล็อตเนื้อหาเหมือนกัน เพราะว่าตัวละครของ พนอ ในลองของ 1-2 มีการตีแผ่มุมมองของเธอไปในระดับหนึ่งแล้วเช่นกัน การวางเนื้อหาต้นกำเนิดของเธอโดยใช้ความเชื่อทางด้านไสยศาสตร์ผสมเข้ามาจึงเป็นสิ่งที่ค่อนข้างมีลู่ทางไม่มากนักจึงสามารถเดาทางได้พอสมควร เพราะจากการปูทางวัยเด็กจวบจนถึงช่วงมัธยมศึกษาตอนปลายของพนอ เธอต้องเผชิญหน้ากับกับความเปล่าเปลี่ยวและน่าสงสารซึ่งจากปมปัญหาที่ขมวดไว้ก็ไม่ทำให้แปลกใจสักเท่าไรที่เธอเติบโตไปเป็น ครูพนอในลองของ นั่นจึงทำให้การดำเนินเนื้อหาค่อนข้างมีความราบเรียบไปสักหน่อย อาจจะไม่ได้มีปมปัญหาซับซ้อนหรือมีรูปแบบเนื้อหาเข้มข้นลึกซึ้งมากนัก แต่เป็นการชูโรงไสยศาสตร์มนต์ดำแบบเต็มอัตราแทบจะทุกสองนาทีจริง ๆ แม้ว่าในบทสนทนาหรือเนื้อหาในบางส่วนอาจจะมีความรู้สึกว่ากลายเป็นละครน้ำเน่าและมีไดอาล็อกชัดเจนไปอยู่บ้าง ซึ่งมันค่อนข้างตรงข้ามกับอารมณ์ที่กำลังต่อเนื่องในความเสียวสยองและความเจ็บปวดที่โดนทำร้าย ในขณะเดียวกันความเชื่อมโยงของตัวละครบางคนในฉาก ๆ หนึ่ง เรารู้สึกถึงความไม่สัมพันธ์กันทั้งการปรากฏตัวและการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งร่วมกัน อาจผนวกรวมกับการตัดต่อฉากซึ่งพอมาเคล้ารวมกันจึงเกิดเป็นแผลที่ชัดเหมือนโดนคุณไสยมนต์ดำเข้าไปเช่นกัน และหากไม่ได้ใช้การเล่นของมาพยุงเนื้อหาเอาไว้ในตลอดระยะเวลาของการรับชมมันอาจจะจมมากกว่านี้เลยก็ว่าได้ เพราะฉากการเล่นของทั้งในการแก้แค้น และการเผชิญหน้ากับผู้เล่นของคนอื่นทำออกมาได้อึ้ง ทึ่ง เสียวจนขนลุกตลอดระยะเวลาของการรับชม และสิ่งหนึ่งที่เรารู้สึกประทับใจคือ ฝีมือการแสดงของทีมนักแสดงทุก ๆ คน พวกเขาสามารถถ่ายทอดมิติอารมณ์ของตัวละครและสร้างภาพจำให้กับตัวละครนั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี โดย เฌอปราง อารีย์กุล ในบท พนอ สามารถออกแบบคาแรกเตอร์ที่มีความต่อเนื่องจากภาพยนตร์ลองของได้ค่อนข้างน่าสนใจ การแสดงท่าทางผ่านแววตา สีหน้า น้ำเสียง

พระร่วง
หนัง

รีวิวหนัง พระร่วง มหาศึกสุโขทัย บทรังสรรค์ขนบใหม่ของหนังอิงประวัติศาสตร์ไทย

       เพราะว่าเดี๋ยวนี้นาน ๆ ทีในวงการหนังไทยจะได้เห็นผลงานที่สร้างอิง ประวัติศาสตร์ หนังพีเรียด ย้อนยุคเกี่ยวกับการเมืองการปกครองออกมาสักเรื่อง ต้องใช้เวลาอยู่หลายปีดีดัก เนื่องจากเป็นคอนเทนท์ที่ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจในการสร้างโดยเฉพาะ ทำการบ้านในค้นคว้าให้หนักแน่น และกลวิธีที่ต้องใส่ใจไม่น้อยเพื่อผลงานที่ดี โชคดีที่ในศักราชนี้ได้มีโอกาสได้ดู พระร่วง มหาศึกสุโขทัย ที่นับว่าเป็นการกลับมาปลุกไฟหนังประวัติศาสตร์ชาติไทยให้ลุกโชนขึ้นอีกครั้งศรีสัชนาลัย สุโขทัย ที่เคยรุ่งเรืองกลับต้องสั่นคลอนเมื่อ พ่อขุนศรีนาวนำถุม สิ้นลงทิ้งไว้เพียงสองพี่น้องผู้ต่างอุดมการณ์ในการปกครองอย่างสิ้นเชิง ซึ่งมิอาจรู้ว่าใครจะขึ้นครองบัลลังก์สืบต่อไป ระหว่าง พรญาผาเมือง ผู้เป็นดั่งนักรบ ยึดมั่นในอำนาจ มีความเด็ดขาดในการปกครอง และ ขุนบางกลางหาว ผู้รักความสงบ เชื่อมั่นในพลังของการปกครองแบบสันติวิธี เมื่ออุดมการณ์ที่แตกต่างได้ปลุกไฟแห่งความแตกแยกของสองพี่น้อง แต่ก็ถูกแทรกแซงด้วย ขอมสบาดโขลญลำพง ที่ฉวยโอกาสจากความแตกแยกนี้ สั่นคลอนการปกครองแผ่นดิน        แต่ก่อนอื่นใดเลย คงจะต้องเรียนแจ้งให้ทราบอย่างตรงไปตรงมาไว้ตอนนี้เป็นลำดับต้น ๆ ก็คือหากว่าคุณคาดหวังที่จะได้เสพย์หนังอิงประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยการเชือดเฉือนชิงชัยในบัลลังก์และการรบการสงคราม เราคิดว่า พระร่วง มหาศึกสุโขทัย เรื่องนี้อาจจะไม่ได้ตอบโจทย์ตรงนั้นได้สักเท่าไหร่ เพราะผลลัพธ์ที่ออกมาในหนังเรื่องนี้อาจจะไปในทิศทางงานศิลป์ที่ผสมผสานความวิจิตรบรรจงและศาสตร์การแสดงในลักษณะละครเวทีโรงใหญ่เสียมากกว่าเพราะนี่คือผลงานล่าสุดของผู้กำกับ ชาติชาติ เกษนัส ที่เพิ่งจะได้เสียงชื่นชมไปจากหนังเรื่องก่อน อย่าง แมนสรวง ไปหมาด ๆ ซึ่งเขาก็ยังรับหน้าร่วมเขียนบทหนังและร่วมอำนวยการสร้างหนังเรื่องนี้ ที่มาจากแพสชั่นในความหลงใหลเรื่องราวทางประวัติศาสตร์โดยแท้ ๆ

รีวิวภาพยนตร์ Unlocked
หนัง

รีวิวภาพยนตร์ Unlocked

Unlocked หนังระทึกขวัญสัญชาติเกาหลีใต้เล่าเรื่องราวของนามิ สาววัยเพิ่งเริ่มทำงานที่เสพติดโลกสื่อสังคมออนไลน์ ไม่ว่าจะทำอะไร ไปที่ไหน หญิงสาวคนนี้ก็มักจะโพสต์ทุกความเคลื่อนไหวในสื่อโซเชียลอยู่ตลอดเวลา จุดเปลี่ยนที่ทำให้ชีวิตของเธอเริ่มเข้าสู่ช่วงที่แย่ที่สุดในชีวิต เพราะเธอพลาดทำโทรศัพท์หายขณะอยู่บนรถประจำทาง และคนที่เก็บโทรศัพท์เครื่องนั้นได้คืออูจุนยอง ฆาตกรต่อเนื่องที่มีเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านไอทีและมือถือและเขายังเป็นฆาตกรต่อเนื่อง Unlocked เป็นงานปริศนาระทึกขวัญสมจริงเชิงจิตวิทยา เล่าถึงคดีอาชญากรรมที่มีจุดเริ่มต้นจากการทำโทรศัพท์มือถือหาย ด้วยเรื่องราวที่เข้ายุคเข้าสมัยอย่างมาก ใกล้ตัวสุด ๆ และด้วยสารพัดหน้าที่ใช้งานเกินคำว่าโทรศัพท์ไปไกล ทำให้สมาร์ทโฟนมักอยู่ติดมือตลอดเวลา มีส่วนร่วมในทุกกิจกรรมชีวิต ทุกสถานะความเป็นอยู่และเรื่องส่วนตัว ล้วนมีข้อมูลอยู่ในนั้นทั้งสิ้น หนังเรื่องนี้จึงนำเสนอมุมมองสะท้อนความเป็นดาบสองคมของโทรศัพท์ พลิกด้านที่อาจนำเหตุร้ายมาสู่ชีวิตได้ ถ้าไม่รู้จักระแวดระวัง การปลดล็อคโทรศัพท์สุ่มสี่สุ่มห้าให้ช่าง ก็ไม่ต่างจากการเปิดประตูให้คนอื่นก้าวเข้ามาบ้านเราได้ และถ้ายิ่งคนที่ตั้งใจอยากเข้ามาคือคนร้ายโรคจิตด้วยแล้วล่ะก็… ถึงขั้นหายนะชีวิตได้เลยเชียว อีนามี (รับบทโดย ชอนอูฮี) เป็นพนักงานการตลาดของบริษัทสตาร์ตอัปแห่งหนึ่ง เธอมักแวะเวียนไปช่วยงานที่ร้านขายเครื่องดื่มของพ่อบ้างเป็นครั้งคราวยามที่ว่าง ชีวิตก็ไม่ต่างจากคนทั่วไปที่ขยันตั้งใจทำงาน สนุกสังสรรค์กับเพื่อนฝูงหลังงาน เอ็นจอยบนโลกโซเชียล เรียกง่าย ๆ ว่าเป็นคนติดมือถือเหมือนที่เราเห็น ๆ คนยุคนี้เป็นกันนั่นแหละ และแล้วคืนหนึ่งเธอก็ทำโทรศัพท์ร่วงหล่นหายบนรถเมล์ระหว่างเมากลับบ้าน มารู้ตัวอีกทีพร้อมการสร่างเมาในวันรุ่งขึ้น และต่อมาก็พบว่ามีคนที่เก็บโทรศัพท์ได้นั้นเป็นเสียงผู้หญิง คนในสายแจ้งเธอให้ไปรับได้ที่ร้านซ่อมเพราะเกิดพลาดทำเครื่องตก หน้าจอเลยแตก โดยได้จัดการค่าใช้จ่ายให้เสร็จสรรพแล้ว ที่ร้านซ่อมโทรศัพท์ เธอต้องให้รหัสปลดล็อคเครื่องกับช่างเพื่อทำงาน ใช้เวลารอไม่นาน เธอก็ได้รับโทรศัพท์ของเธอกลับคืนไป แต่นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเปิดประตูให้มิจฉาชีพเข้าสู่เซิร์ฟเวอร์ข้อมูลชีวิตของเธอ และกลายเป็นสตอล์คเกอร์ตามส่องเธอทุกฝีก้าวผ่านกล้องหน้าของเครื่องตั้งแต่นั้นมา ช่างมิจฉาชีพผู้นี้ชื่อว่า โอจุนยอง

สโนว์ไวท์
หนัง

รีวิวหนัง Snow White สโนว์ไวท์ หยิบลงมาจากหึ้ง 

      เติมชีวิตชีวาให้ความคลาสสิกระดับขั้นพื้นฐานเป็นอีกหนึ่งโปรเจกต์หนังไลฟ์แอคชันของวอลต์ ดิสนีย์ ที่กลายเป็นที่จับตามองสุด ๆ นับตั้งแต่ประกาศสร้าง เปิดตัวนักแสดง ไปจนถึงประเด็นดรามาต่าง ๆ มากมายที่เกิดขึ้นร่ายล้อมระหว่างการรังสรรค์หนังเรื่องนี้ กลายออกมาเป็นฉบับคนแสดงของการ์ตูนเทพนิยายคลาสสิกเบอร์แรกของค่าย Snow White สโนว์ไวท์ ได้ถูกเนรมิตให้มีเนื้อหนังมังสา มีชีวิตชีวาโลดแล่นบนจอใหญ่ได้อย่างตระการตาในที่สุดเชื่อว่าหลาย ๆ คนก็น่าจะรู้จักเนื้อหาของเรื่องนี้กันดี เพราะนี่คือการดัดแปลงมาจากแอนิเมชั่นในปี 1937 ของดิสนีย์ อย่าง สโนวไวท์และคนแคระทั้งเจ็ด’ เรื่องราวที่เปี่ยมล้นไปด้วยจินตนาการอันล้ำเลิศ เมื่อ สโนว์ไวท์ เจ้าหญิงผู้เลอโฉมจิตใจงดงามได้ร่วมมือกับเหล่าคนแคระทั้ง 7 เพื่อทำการต่อกรและต่อต้านราชินีผู้ชั่วร้าย และยังเป็นแม่เลี้ยงที่ใจอำมหิตของเธอ เพื่อปลดแอดอาณาจักรให้กลับมาเรืองรองอีกคราในฉบับนี้ได้ผู้กำกับมือฉมัง (ที่เกือบตกขอบไปแล้ว) อย่าง มาร์ค เว็บบ์ จาก 500 Days of Summer มารับหน้าที่ดูแลงานสร้าง ที่นับว่าเขาก็ต้องทำการปัดฝุ่นจัดทรงตัวเองให้กับมาลุยงานหนังระดับบ็อกซ์บัสเตอร์ฟอร์มใหญ่ยักษ์อีกครั้ง หลังจากที่ห่างหายไปจากงานสร้างหนังใหญ่ ๆ แบบนี้ไปร่วมทศวรรษนับตั้งแต่แฟรนไชส์ไอ้แมงมุมฉบับอะเมซิงเรื่องดัง        แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า มาร์ค เว็บบ์ สามารถวาดลวดลายและเติมชีวิตให้กับเทพนิยายเรื่องนี้ออกมาได้เจิดจรัสจัดจ้านในระดับที่น่าพอใจด้วยดี สามารถชุบชีวิตและต่อเติมจินตนาการจากการ์ตูนที่ค่อนข้างเชยไปแล้ว ซึ่งมีอายุเกือบจะครบร้อยปีเรื่องนี้ออกมาได้เพลิดเพลินใจได้ตรงตามโจทย์ จากบทหนังของ “เอริน

หนัง

รีวิวหนัง แก๊งหิมะเดือด Frozen Hot Boys แบบว่าโฟร์คิงส์ฉบับสดใส..หัวใจร้อน ๆ คูล ๆ

      ได้เวลามาดับร้อนและพักใจไปกับหนังไทยบรรยากาศหนาว ๆ เย็น ๆ กลางความอบอ้าวของฤดูร้อนแบบนี้ใน แก๊งหิมะเดือด Frozen Hot Boys ที่มาพร้อมกับกลิ่นอายการแต่งแต้มแรงบันดาลใจและโอกาสแห่งความฝันของทุกคน ท่ามกลางความดุเดือดเผ็ดร้อนแบบหนังโฟร์คิงส์ฉบับคุกเยาวชน ผนวกเข้ากับความยะเยือกในเทศกาลปั้นหิมะยิ่งใหญ่ระดับโลก ที่นำมาผูกเข้ากันได้อย่างน่าเหลือเชื่อเรื่องราวของ ครูชมพู ครูสาวประจำศูนย์ฝึกเยาวชนบ้านเบญจธรรม มีความหวังที่อยากกลับไปเจอหน้าพ่ออีกครั้ง ที่ได้ย้ายไปอยู่เมืองซัปโปโร เธอจึงพยายามโน้มน้าวเหล่าวัยรุ่นนอกคอกในศูนย์ฯ เพื่อให้เข้าร่วมการแข่งขันแกะสลักหิมะที่ญี่ปุ่น ด้วยบททดสอบที่แข็งยิ่งกว่าหิน ยากยิ่งกว่าข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัย ในหมู่วัยรุ่นวัยค้นหาตัวตนที่เฝ้ารอให้ใครสักคนได้มองเห็นคุณค่าที่แอบซ่อนอยู่ในตัวพวกเขาหนังเรื่องนี้เป็นผลงานหนังใหญ่ของผู้กำกับหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง “ธนกฤต กิตติอภิธาน” ที่สั่งสมประสบการณ์ทำหนังสั้นมาหลายปี ที่ได้ “เป้-นฤบดี เวชกรรม” จาก Low Season สุขสันต์วันโสด มารับหน้าที่เป็นเทรนเนอร์ชั้นดีในการไกด์งานกำกับหนังเรื่องนี้ได้อย่างเหมาะเจาะ เป็นการผสมผสานอรรถรสที่ปนเปนระหว่างประเด็นดรามาและความขบขันแบบไทย ๆ ได้อย่างลงตัว กับจังหวะคารมที่มีกลิ่นอายความเป็นหนังญี่ปุ่นเบา ๆ กับแกลมได้อย่างเอร็ดอร่อย       ถึงแม้ว่า แก๊งหิมะเดือด จะเป็นหนังที่มีลักษณะแบบทีเล่นทีจริงไปสักหน่อย แต่ต้องยอมรับว่าในสูตรสำเร็จของบทหนังเรื่องนี้ก็ค่อนข้างมีสตอรี่ที่เข้มแข็งและหนักแน่นดีกว่าหนังไทยหลาย ๆ เรื่องในยุคนี้ด้วยซ้ำ ด้วยความที่หนังมีประเด็นที่ชัดเจนและไม่ได้ซับซ้อนอะไร และยังได้จังหวะการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างสนุกและชวนติดตาม ประเด็นหลักก็ขันแข็งดี ประเด็นรองที่เสริมเข้ามาก็ยังพอถูไถไปได้เคยได้ยินผู้สร้างหนังเรื่องนี้บอกถึงไอเดียคอนเซ็ปต์หนังเรื่องนี้ว่า แค่ฉุกคิดขึ้นคำถามขึ้นมาในใจว่า ทำไมคนไทยถึงไปชนะการแข่งขันแกะสลักหิมะอยู่เรื่อย ๆ

หนัง

รีวิวหนัง หลวงพี่แจ๊สโคตรซิ่ง ฮาตามสูตรสำเร็จที่คาดเดาได้ การซิ่งครั้งนี้จึงไม่สุดทาง

       ออกจากทางธรรมเข้าสู่ทางโลก และโบกสะบัดความสนุกเฮฮาแบบป่วนเมืองในภาพยนตร์ หลวงพี่แจ๊สโคตรซิ่ง ซึ่งในภาคนี้ พี่แจ๊ส นักแสดงหลักยังนั่งเก้าอี้ผู้กำกับร่วมกับพี่พชร์ อานนท์ อีกด้วย ทำให้มุมมองความสนุกตามสไตล์ของพี่พชร์กับพี่แจ๊สถูกผสมผสานความสนุกประกอบเป็นรูปร่างแบบไม่กระจัดกระจายจนจับต้นชนปลายไม่ถูก พร้อมเส้นเรื่องหลักที่ชวนติดตามปมปัญหาและการคลี่คลายเรื่องราวเริ่มต้นเมื่อหลวงพี่แจ๊สต้องลาสิกขาเนื่องจากดันขับมอเตอร์ไซค์ตามจับโจรขโมยพระในวัด เหตุการณ์นี้ผลักดันให้เขาต้องเผชิญโลกฆราวาสอันโหดร้าย ทั้งผู้คนและการดิ้นรนทำมาหากิน ซึ่งปมนี้ถือเป็นแกนหลักที่ร้อยเรียงเรื่องราวชีวิตหลังสึกได้อย่างน่าสนใจ การเข้ามาของตัวละครสำราญและคุณแม่ก็ช่วยเสริมมิติเบื้องหลังให้เนื้อหามีอะไรให้ติดตามมากยิ่งขึ้นอย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าเสียดายคือจังหวะการเล่าเรื่องที่ยังไม่ไหลลื่นเท่าที่ควร การสลับฉากที่ดูขัด ๆ และฉากเสริมบางฉากที่ดูเหมือนจะถูกใส่เข้ามาเพื่อยืดเวลาโดยไม่ได้มีส่วนสำคัญกับเนื้อหาหลักมากนัก อาจทำให้ความสนุกต่อเนื่องลดลงไปบ้าง นอกจากนี้ การคลายปมปัญหาและบทสรุปของตัวละครก็ยังดูรีบรวบรัด ไม่สมเหตุสมผลเท่าที่ควร ยังคงวนเวียนอยู่กับสูตรสำเร็จเดิม ๆ ที่ไม่ได้สร้างความแปลกใหม่หรือเซอร์ไพรส์คนดูมากนัก       ถึงกระนั้น ในแง่ของความบันเทิง หลวงพี่แจ๊สโคตรซิ่ง ก็ยังพอสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะได้ในระดับที่น่าพอใจ แม้ว่ามุกตลกหลาย ๆ ฉากอาจจะไม่สดใหม่นัก แต่ด้วยการถ่ายทอดของนักแสดงและจังหวะการนำเสนอก็ถือว่าทำได้ลงตัวในระดับหนึ่ง แม้ช่วงที่ปล่อยมุกฮาอาจจะไม่ถี่มากนักแต่ก็มีแทรกเข้ามาเป็นระยะ ซึ่งนอกจากความฮาแล้ว สิ่งที่น่าสนใจคือภาพยนตร์ยังคงสอดแทรกข้อคิดดี ๆ ทั้งในทางธรรมและทางโลก เปรียบเสมือนแก่นของเรื่องที่ต้องการสื่อสารให้ผู้ชมได้ฉุกคิดและนำไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิตสิ่งที่ต้องชื่นชมเป็นพิเศษคือ พลังทางการแสดง ของ แจ๊ส ชวนชื่น ที่แบกรับภาพยนตร์ไว้เกือบทั้งเรื่อง แม้บทสนทนาบางครั้งอาจจะไม่คมคายเท่าที่ควร แต่ด้วยองค์ประกอบทางการแสดง เสื้อผ้า หน้าผม และความทุ่มเทในการแสดง ก็สามารถสร้างสีสันและความฮาให้กับตัวละครได้อย่างโดดเด่น อีกหนึ่งนักแสดงที่ขโมยซีนได้ไม่น้อยคือ “ป้ารัตนา”

รีวิวหนัง
หนัง

รีวิวหนัง The Match เดอะ แมตช์ ลํานําเซียนหมากล้อมในตำนานของเกาหลี

   หนึ่งในเกมการแข่งขันที่ดุเดือดและได้รับความนิยมไม่น้อยในเกาหลี อย่าง เกมบาดุก, เกมโกะ หรือ หมากล้อม ที่นับว่าเป็นอีกหนึ่งเกมที่ได้ยกระดับจากกิจกรรมอดิเรกมาเป็นการแข่งขันที่พัฒนาสร้างแชมป์และเซียนได้อย่างต่อเนื่อง และนี่ก็คือการตีแผ่ตำนานเซียนหมากล้อมที่ยิ่งใหญ่ของเกาหลีทั้งสองคน ออกมาเป็น The Match เดอะ แมตช์ ที่วาดลวดลายการกำเนิดของ 2 เซียนหมากล้อมผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนกิมจิ เรื่องราวและเส้นทางสู่การเป็นเซียนระหว่างศิษย์กับอาจารย์หมากล้อมในตำนานของเกาหลี อย่าง โชฮันฮยอน กับ อีชางโฮ พวกเขาทั้งคู่ที่ได้ชื่อว่าเป็นโปรสุดยิ่งใหญ่ที่มีการจารึกเอาไว้ในวงการหมากล้อมของโลก การผลักดันและปลุกปั้นที่นำมาสู่การเป็นคู่ต่อสู้ในเกมบนกระดานที่เต็มไปด้วยชั้นเชิงไหวพริบ ที่ผนวกเข้ากับแรงกดดันมหาศาล ที่นำพาทั้งคู่ไปสู่ห้วงแห่งศักดิ์ศรีที่ดุเดือดที่สุดเท่าที่เคยมีมาหมากล้อม อาจจะเป็นเกมที่บางคนมองว่าเป็นการแข่งขันที่เงียบงันและไร้เสน่ห์ เป็นแค่เพียงการชิงไหวพริบเดินเกมระหว่างแค่คนสองคน แต่จริง ๆ แล้วรายละเอียดในการเดินหมากแต่ละตัวต้องพาการคิดวิเคราะห์อย่างครอบคลุม ยิ่งมีศักดิ์ศรีความเป็นเซียนค้ำคออยู่ ยิ่งต้องแบกรับสถานการณ์กดดันอยู่หน้ากระตานตรงหน้า นั่นจึงกลายเป็นเสน่ห์อันท้าทายของเกมหมากล้อม ที่ภายนอกอาจจะดูน่าเบื่อ แต่ก็รายล้อมไปด้วยสิ่งที่น่าค้นหามากมายเช่นกัน       นี่คือผลงานการกำกับและเขียนบทของ คิมฮยองจู นักสร้างหนังหน้าใหม่ที่อาจจะยังไม่มีชิ้นงานที่โดดเด่นเท่าไหร่นัก แต่ได้ก้าวขึ้นมาหยิบจับงานสร้างผลงานชิ้นใหญ่เรื่องนี้เลย ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคนิคและองค์ประกอบงานสร้างใน The Match อาจจะไม่ได้มีอะไรที่แปลกใหม่นัก หนังยังวนไปใช้สูตรความสำเร็จตามสไตล์หนังเกาหลีลักษณะนี้ที่ต้องยอมรับว่า วงการหนังเกาหลียังเก็บรายละเอียดงานสร้างได้ค่อนข้างน่าพอใจแต่ต้องยอมรับว่ามีสตอรี่และเรื่องราวที่ค่อนข้างส่งเสริมตัวหนังได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว เพราะความทรงพลังของเกมการแข่งขันระหว่างครูกับศิษย์ นับว่าเป็นการเดินหมากสร้างประเด็นในหนังให้รู้สึกหนักแน่นขึ้นได้ดีขึ้น โดยหนังยังได้ “ยุนจงบิน” มือเขียนบทจากหนัง The Spy Gone North

Fifty Shades of Grey
หนัง

รีวิวหนัง Bad Influence วัยรักอันตราย

    วังวนแสนยั่ว…ยัยลูกคุณหนูกับบอดี้การ์ดหนุ่มใจร้าวถ้าหากว่าคุณยังไม่เบื่อที่บริโภคคอนเทนท์ยั่วยวนกลิ่นอายอีโรติกติดเรทหน่อยๆ จากฝั่งยุโรปแล้วละก็ ได้เวลามาดื่มด่ำกับอีกหนึ่งรสชาติของความสัมพันธ์สุดแสนจะน้ำเน่าจากสเปนใน Bad Influence วัยรักอันตราย หนังโรแมนซ์ระทึกขวัญกับความสัมพันธ์ระหว่างต่างชนชั้นของลูกสาวมหาเศรษฐีกับบอดี้การ์ดหนุ่มใจแตก ก่อเกิดเป็นความลึกซึ้งที่ไม่อาจจะคาดคิดได้ เอรอส เด็กหนุ่มกำพร้าวัยคะนองที่ได้รับโอกาสให้ออกมาจากทัณฑสถานก่อนกำหนด เพราะได้รับการว่าจ้างจากมหาเศรษฐีให้มาช่วยปกป้องคุ้มครองลูกสาวของเขา รีซ ที่พบว่าเธอคนนั้นกำลังตกเป็นเป้าหมายของผู้ไม่หวังดีและมักจะตกอยู่ในความเสี่ยงเสมอ ทำให้เขาต้องแทรกซึมเข้ามาอยู่ในชีวิตของเธอ เพื่อเฝ้าดูเธอทุกย่างก้าว แต่ทว่าหนุ่มสาววัยฮอร์โมนพลุ่งพล่านที่ใกล้ชิดกัน ได้ก่อกำเนิดเป็นความสัมพันธ์ที่ถลำลึกในแบบที่พวกเขาเองก็มิอาจจะหักห้ามใจได้       Bad Influence ก็ไม่ต่างกับพวกหนังรักอีโรติกที่มีส่วนผสมของหนังแนว ๆ มาหลายเรื่อง นำมาปรุงแต่งออกมาเป็นเรื่องใหม่ มีกลิ่นอายความลึกลับในปมต่างๆ แบบ Fifty Shades of Grey บรรยากาศรักเกินห้ามใจวัยทีนเหมือนในหนัง My Fault หรือความรักแตกต่างทางชนชั้น อย่าง Through My Window แต่ใด ๆ แล้วหนังเรื่องนี้กลับไม่สามารถจับประเด็นและสร้างสตอรี่ที่แข็งแรงได้เท่ากับหนังที่กล่าวถึงข้างต้นได้เลยสักนิด แม้ว่ากลุ่มหนังเหล่านั้นก็ใช่ว่าจะเป็นหนังดีเลิศอะไรโดยหนังได้ผู้กำกับหญิง โคลอี้ วอลเลซ มารับหน้าที่สร้างและร่วมเขียนบทด้วย นั่นจึงเป็นการสะท้อนในงานสร้างที่ดีจากมุมมองนักสร้างผู้หญิง ที่แม้ว่าจะเป็นหนังรักอีโรติก แต่หนังไม่ได้ต้องการที่สื่อสารมุมมองต่าง ๆ ออกมาได้ในลักษณะอนาจารแบบถึงพริกถึงขิงอะไรทำนองนั้น ผู้กำกับคนนี้ใช้ความละเมียดละไมร้อยเรียงหนังออกมาด้วยการใช้ศิลปะเป็นแกนหลัก ที่ทำให้ภาพต่าง ๆ ออกมาเป็นหนังที่มีกลิ่นอายความโรแมนซ์ในความสัมพันธ์ที่ไม่หวือหวาเกินไป

Scroll to Top