หนัง

หนัง

Miss Peregrine's Home for Peculiar Children
หนัง

รีวิวภาพยนตร์  Miss Peregrine’s Home for Peculiar Children

“Miss Peregrine’s Home for Peculiar Children” ผลงานกำกับของ Tim Burton นำเสนอเรื่องราวแฟนตาซีที่ผสมผสานความแปลกประหลาด ความลึกลับ และความตื่นเต้นได้อย่างลงตัว ภาพยนตร์พาเราติดตามการเดินทางของ เจคอบ พอร์ตแมน (รับบทโดย Asa Butterfield) เด็กหนุ่มวัย 16 ปี ผู้ที่ชีวิตต้องพลิกผันเมื่อปู่ของเขาเสียชีวิตลงอย่างปริศนา พร้อมกับทิ้งคำบอกเล่าชวนพิศวงเกี่ยวกับบ้านเด็กกำพร้าที่เต็มไปด้วยเด็กพิเศษที่ปู่ของเขาเคยอาศัยอยู่ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะไขปริศนา เจคอบเดินทางไปยังเกาะอันห่างไกลในเวลส์ สถานที่ที่ปู่ของเขาเล่าถึง ที่นั่นเขาได้ค้นพบซากปรักหักพังของบ้านมิสเพเรกริน และสิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือเขาได้ก้าวเข้าสู่ “ลูปเวลา” ที่ทำให้เขาย้อนกลับไปในปี 1943 ที่ซึ่งบ้านยังคงสมบูรณ์ และเด็กๆ ผู้มีพลังพิเศษยังคงมีชีวิตอยู่ภายใต้การดูแลของ มิสเพเรกริน (รับบทโดย Eva Green) ผู้สามารถควบคุมเวลาและแปลงร่างเป็นนกได้ ภาพยนตร์แนะนำให้เรารู้จักกับเหล่า “เด็กพิเศษ” ที่มีพลังและความสามารถเหนือธรรมชาติอันน่าทึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเอ็มม่า ผู้ควบคุมอากาศ, บรอนวิน ผู้มีพละกำลังมหาศาล, หรือฟีโอน่า ผู้สามารถทำให้พืชเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว Tim Burton ได้นำเสนอความแปลกประหลาดของตัวละครเหล่านี้ได้อย่างมีเสน่ห์ ด้วยงานสร้างและภาพลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขา ซึ่งทำให้แต่ละคนดูมีชีวิตชีวาและน่าจดจำ อย่างไรก็ตาม ชีวิตในลูปเวลาที่ดูเหมือนสมบูรณ์แบบนี้กลับไม่ได้ปลอดภัยอย่างที่คิด เพราะมี “ฮอลโลว์แกสต์” อสูรกายที่มองไม่เห็น ผู้ไล่ล่ากินดวงตาของเด็กพิเศษ และ “ไวท์” ที่เป็นร่างแปลงของฮอลโลว์แกสต์ที่ฉลาดแกมโกง คอยคุกคามอยู่เบื้องนอก เจคอบค้นพบว่าเขาก็มี “ความพิเศษ” เช่นกัน นั่นคือความสามารถในการมองเห็นฮอลโลว์แกสต์ ซึ่งทำให้เขาต้องรับบทบาทสำคัญในการปกป้องเหล่าเด็กพิเศษจากภัยคุกคามเหล่านี้ แม้ว่าภาพยนตร์จะเต็มไปด้วยฉากแอ็กชันและเอฟเฟกต์พิเศษที่น่าตื่นตาตื่นใจ แต่หัวใจสำคัญของเรื่องยังคงอยู่ที่ประเด็นเรื่องการยอมรับความแตกต่าง การค้นพบตัวเอง และการยืนหยัดเพื่อสิ่งที่เราเชื่อมั่น Tim Burton สร้างสรรค์โลกแฟนตาซีที่มีบรรยากาศหม่น ๆ แต่ก็ยังคงอบอวลไปด้วยความหวังและความผูกพัน ภาพยนตร์เรื่องนี้อาจไม่ได้สมบูรณ์แบบในทุกแง่มุม และแฟนหนังสืออาจจะพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดจากต้นฉบับไปบ้าง แต่โดยรวมแล้ว Miss Peregrine’s Home for Peculiar Children ยังคงเป็นผลงานที่น่าสนใจ ด้วยวิสัยทัศน์ของผู้กำกับที่ชัดเจน ตัวละครที่น่าจดจำ และเรื่องราวที่เต็มไปด้วยจินตนาการอันไร้ขีดจำกัด ชวนให้ผู้ชมได้ดำดิ่งสู่โลกที่ซึ่งความแปลกประหลาดคือความพิเศษ และความแตกต่างคือพลัง

Everything Everywhere All at Once
หนัง

รีวิวหนัง Everything Everywhere All at Once ซือเจ๊ทะลุมัลติเวิร์ส

ภาพยนตร์แอ็กชันดราม่า ซือเจ๊ทะลุมัลติเวิร์ส Everything Everywhere All at Once ที่มีความแปลกใหม่ ฉีกกฎการเล่าเรื่องแบบเดิมๆ อย่างถึงขีดสุด ผลงานกำกับโดย Daniel Kwan และ Daniel Scheinert หรือที่รู้จักในนาม “The Daniels” โดยหนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จทั้งในแง่รายได้และคำวิจารณ์ คว้ารางวัลออสการ์มาแล้วหลายสาขา และเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในปี 2022–2023 เรื่องราวเริ่มต้นจาก เอเวลิน หวัง (รับบทโดย มิเชล โหย่ว) หญิงเชื้อสายจีนที่ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ในอเมริกา ทำงานบริหารร้านซักรีดกับสามีและลูกสาว เธอมีชีวิตที่ยุ่งเหยิง ถูกภาษีตามตรวจสอบ ความสัมพันธ์กับครอบครัวก็เต็มไปด้วยช่องว่าง โดยเฉพาะกับลูกสาวที่ไม่เข้าใจกัน ทว่าในวันที่เธอกำลังจะถูกเรียกไปชี้แจงเรื่องภาษีกับเจ้าหน้าที่ เธอกลับถูกดึงเข้าสู่ “มัลติเวิร์ส” หรือพหุจักรวาล และกลายเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยปกป้องทุกสรรพสิ่งจากการล่มสลาย จุดเด่นของหนังคือการเล่าเรื่องที่ฉีกกรอบเดิมๆ ด้วยการผสมผสานแนวคิดเกี่ยวกับมัลติเวิร์สเข้าไว้กับเรื่องราวชีวิตครอบครัว ธีมหลักของหนังไม่ใช่แค่ความมันส์ของการเดินทางข้ามจักรวาล หรือฉากแอ็กชันสุดครีเอทีฟเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงประเด็นการค้นหาความหมายของชีวิต การให้อภัย ความรักระหว่างแม่ลูก และการยอมรับในตัวตนของกันและกัน หนังใช้เทคนิคการตัดต่อเร็วแบบ “multiverse montage” ที่ฉับไวและสร้างสรรค์ ทั้งการสลับฉากในแต่ละจักรวาลอย่างลื่นไหล จนผู้ชมรู้สึกเหมือนได้วิ่งผ่านโลกนับพันในเวลาเพียงไม่กี่วินาที แถมยังผสมความฮาและดราม่าได้อย่างกลมกล่อม

รีวิวภาพยนตร์ไทย ผู้บ่าวนิกะห์ ผสมวัฒนธรรมและความตลก
หนัง

รีวิวภาพยนตร์ไทย ผู้บ่าวนิกะห์ ผสมวัฒนธรรมและความตลก

สำหรับเรื่อง ผู้บ่าวนิกะห์ เป็นภาพยนตร์ที่ถูกจับตามองอย่างมากจากผลงานก่อนหน้าของสตูดิโอ Monwichit ที่ฝากผลงานฟีลกู๊ดและโด่งดังในวงการ หนังไทย  ด้วยความสำเร็จนั้น หลายคนจึงตั้งความหวังกับโปรเจกต์ใหม่ครั้งนี้ ทว่าความหวังกลับไม่ได้แปลว่าจะสมหวังเสมอไป พล็อตของหนังบอกเล่าเรื่องราวของความรักที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคทางวัฒนธรรมระหว่างภาคอีสานและภาคใต้ ภายใต้กรอบที่เต็มไปด้วยความแตกต่างทั้ง แนวคิดและศาสนา เมื่อครอบครัวฝ่ายเจ้าสาวตั้งใจขัดขวางงานแต่งงาน จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายที่เต็มไปด้วยเรื่องราวขำขัน แต่กลับพ่วงมาด้วยมุขตลกและการแสดงออกที่ทำให้ผู้ชมบางกลุ่มตั้งคำถามถึงความเหมาะสม “ผู้บ่าวนิกะห์” มีทั้งจุดที่น่าชื่นชมและจุดที่พลาด ซึ่งไม่เพียงแต่กระทบความรู้สึกของผู้ชมที่นับถือศาสนา แต่ยังสร้างบรรยากาศที่ไม่สมดุลในหนังโดยรวม บทความนี้จะพาคุณสำรวจจุดเด่น จุดพลาด และมุมมองต่อเรื่องราวนี้อย่างละเอียด เริ่มต้นด้วยเรื่องราวที่ดูมีศักยภาพสูงในการเล่าเรื่อง เมื่อใช้ความแตกต่างของวัฒนธรรมเป็นแก่นสำคัญ การแต่งงานที่ต้องเผชิญกับการต่อต้านจากครอบครัว ฝ่ายเจ้าสาวเน้นความเคร่งครัดในศาสนาและวัฒนธรรม ขณะที่ฝ่ายเจ้าบ่าวมาพร้อมความเรียบง่ายของวิถีชีวิตอีสาน แม้โครงเรื่องดูจะมุ่งเน้นไปที่การเชื่อมวัฒนธรรม แต่การเล่าเรื่องกลับเต็มไปด้วยมุขตลกที่ล้ำเส้น โดยเฉพาะมุขเกี่ยวกับประเด็นความเชื่อทางศาสนา การนำเรื่องเพศ การเปรียบเทียบพฤติกรรม และมุขเหยียดเข้ามาใส่ในสถานการณ์หลายจุด ทำให้ภาพยนตร์นี้ขาดความเคารพต่อความละเอียดอ่อนที่ควรมี แม้ว่าหนังจะมีจุดพลาดในด้านการเล่าเรื่อง แต่การแสดงของนักแสดงหลักถือว่าเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมมาก เคมีระหว่างตัวละครทำให้ผู้ชมรู้สึกถึงความเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะบทของเจ้าบ่าวและเจ้าสาว ที่สามารถสะท้อนถึงความรักและความพยายามในการฝ่าฟันอุปสรรคได้อย่างน่าเอ็นดู นักแสดงสมทบยังช่วยเพิ่มสีสันและความสนุกให้กับหนังในบางจุด โดยเฉพาะฉากที่เกี่ยวกับครอบครัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ทำให้ผู้ชมสามารถเชื่อมโยงกับสถานการณ์ได้ แม้ว่ามุขตลกบางส่วนจะยังคงทำให้รู้สึกอึดอัด สิ่งที่ทำให้ “ผู้บ่าวนิกะห์” ไม่สามารถประสบความสำเร็จได้เท่าที่ควร คือการใส่มุขที่ขาดความละเอียดอ่อนและการเลือกนำเสนอประเด็นศาสนาในลักษณะที่ล้ำเส้น บทสนทนาบางจุดที่เสียดสีวัฒนธรรมและศาสนา ทำให้ผู้ชมรู้สึกไม่สบายใจ แม้จะเข้าใจว่าตัวหนังพยายามนำเสนอในเชิงขำขัน อีกหนึ่งปัญหาคือการเพิ่มฉากที่ไม่จำเป็นในช่วงท้ายเรื่อง โดยเฉพาะการใส่บทด่าทอที่กระทบความสัมพันธ์ของตัวละครสำคัญ มันไม่เพียงแต่ทำลายบรรยากาศที่อบอุ่นของหนัง แต่ยังทำให้ผู้ชมรู้สึกถึงความไม่เหมาะสม

หนัง

รีวิวหนัง Deep Cover ภารกิจด้นสด ปลดล็อกสกิลรั่ว ดำดิ่งชวนขำกับสายตำรวจการละคร

        นับว่านานทีปีหนจะได้เสพย์สุขไปคอนเทนท์หนังสัญชาติอังกฤษแท้ ๆ ที่พกพาลีลาการเสียดสีและเหน็มแนมสังคมออกมาสักเรื่อง และล่าสุดก็เป็นคิวของ Deep Cover ภารกิจด้นสด ปลดล็อกสกิลรั่ว ที่นับว่าเป็นหนังออริจินัลบริติชที่มาด้วยท่วงท่าไปเรื่อยของลีลาการแสดง ที่ทำให้คนดูได้สัมผัสเห็นความไปเรื่อย ๆ ของพวกเขาที่ก้าวเข้าไปสู่วังวนแห่งโลกอาชญากร ซ้ำยังมาพร้อมกับทัพนักแสดงลีลาตัวท็อปเรื่องราวของคนหนุ่มสาวที่รู้สึกว่ายังไม่เคยสัมผัสอะไรที่เรียกว่าความสำเร็จเลยสักครั้งในชีวิต แคท เป็นเทรนเนอร์สอนการแสดงตลกด้นสดที่ยังไม่เคยมีมาสเตอร์พีชของตัวเอง มาร์ลอน หนุ่มที่พกพรสวรรค์ทางการแสดงแต่กลับไร้โอกาสให้เฉิดฉาย และ ฮิว พนักงานออฟฟิศที่มีปัญหาเกี่ยวกับการเข้าสังคมพวกเขาได้กลายมาเป็นนักแสดงด้นสดที่มาเป็นสายให้กับตำรวจแบบข้าง ๆ คู ๆ และได้นำสกิลการแสดงเข้าไปตบตาพวกแก๊งอาชญากรใต้ดินในกรุงลอนดอน ชนิดที่ไม่ต่างกับเข้าไปกระตุกหนวดเสือทอม คิงสลีย์ หวนกลับมาสร้างหนังในรอบเกือบสิบปี หลังจากที่หันไปเอาดีในงานกำกับซีรีส์ดังอยู่หลายเรื่อง ที่มาพร้อมกับดรีมทีมมือเขียนบทระดับเทพ ที่นำโดย “คอลิน เทรวอร์โรว์” (ผู้กำกับ หนังชุด Jurassic World) ที่ต้องบอกเลยว่า Deep Cover เรื่องนี้ไปได้แหล่มแจ่มแมวเพราะบทหนังเป็นหลักเป็นอันโดยแท้ แม้ว่าจะเป็นหนังตลกสไตล์บริติชที่มักจะเต็มไปด้วยมุกขบขำที่ลุ่มลึกไปสักหน่อย แต่บอกเลยว่าลีลาเรื่องนี้เนี๊ยบแบบจัดจ้านไม่เบา        พล็อตเรื่องอาจจะไม่ได้สดใหม่เท่าไหร่ ร้อยเรียงมาแบบง่าย ๆ กับประเด็นของคนขี้แพ้ที่กำลังจนตรอกที่จับพลัดจับผลูมารับงานเป็น สายสืบ ออกมาเป็นหนังที่มีลักษะเหมือนบัดดี้คู่หูสืบสวนสอบสวนแบบชวนงงงวย แต่ยังสอดแทรกมาด้วยมุกตลกแบบชาวอังกฤษ ที่อาจจะไม่ได้โจ่งแจ้ง แต่เต็มไปด้วยคารมที่เก้

Up in the Air
หนัง

รีวิวภาพยนตร์ Up in the Air

“Up in the Air” ภาพยนตร์ดราม่า ปี 2009 ที่กำกับโดย เจสัน ไรต์แมน นำแสดงโดย จอร์จ คลูนีย์ ในบท ไรอัน บิงแฮม ชายหนุ่มผู้ทำงานเป็นที่ปรึกษาด้านการเลิกจ้าง ที่ต้องเดินทางบ่อยครั้งจนกลายเป็นวิถีชีวิต เขาใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวแต่กลับรู้สึกเติมเต็มกับการสะสมไมล์บินและรางวัลต่างๆ จากสายการบิน โรงแรม และบัตรเครดิต ไรอันเป็นปรมาจารย์ด้านการเลิกจ้างพนักงาน เขามีวาทศิลป์อันคมคายและดูเหมือนจะไร้ความรู้สึกต่อโศกนาฏกรรมของผู้อื่น เขามักจะให้คำแนะนำในการใช้ชีวิตอย่างอิสระ ปราศจากพันธะ โดยเฉพาะการหลีกเลี่ยงความสัมพันธ์ที่ผูกมัด ภาพยนตร์เรื่องนี้พาเราสำรวจปรัชญาชีวิตของไรอันที่ยึดติดกับการไม่ผูกมัดกับสิ่งใด เขาใช้ชีวิตบนเครื่องบินและในห้องพักโรงแรมเป็นหลัก กระเป๋าเดินทางคือบ้านของเขา และเป้าหมายสูงสุดคือการสะสมไมล์บินให้ได้ 10 ล้านไมล์ ซึ่งเป็นความสำเร็จที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน ไรอันภาคภูมิใจในชีวิตที่เบาหวิว ปราศจากสิ่งรั้งท้าย จนกระทั่งการมาถึงของสองผู้หญิงในชีวิตเขา คนแรกคือ นาตาลี คีเนอร์ (แอนนา เคนดริก) พนักงานใหม่ไฟแรงที่เสนอแนวคิดการเลิกจ้างพนักงานผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ซึ่งเป็นการคุกคามรูปแบบการทำงานที่เขาคุ้นเคย ไรอันต้องจำใจพานาตาลีร่วมเดินทางไปเรียนรู้วิธีการ “เลิกจ้าง” แบบตัวต่อตัว ในขณะเดียวกัน เขาก็ได้พบกับ อเล็กซ์ โกรัน (เวร่า ฟาร์มิกา) ผู้หญิงที่มีไลฟ์สไตล์คล้ายคลึงกับเขา พวกเขาทั้งคู่ต่างใช้ชีวิตบนท้องฟ้า และดูเหมือนจะเข้าใจซึ่งกันและกันจนนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ไม่ผูกมัด สิ่งที่ทำให้ “Up in the Air” โดดเด่นคือการสะท้อนภาพของ วิกฤตเศรษฐกิจ ในช่วงเวลานั้นได้อย่างเจ็บปวดและสมจริง ฉากการเลิกจ้างพนักงานไม่ได้มาจากนักแสดงล้วนๆ แต่มาจากบุคคลจริงที่ถูกเลิกจ้าง ทำให้ภาพยนตร์มีความลึกซึ้งและเข้าถึงอารมณ์ได้มากขึ้น เราจะเห็นใบหน้าของความผิดหวัง ความโกรธ และความเจ็บปวดจากการสูญเสียงาน ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่หลายคนต้องเผชิญในโลกแห่งความเป็นจริง การแสดงของจอร์จ คลูนีย์นั้นยอดเยี่ยม เขาถ่ายทอดบทบาทของไรอันได้อย่างมีมิติ ทั้งความสุขุม ความเฉลียวฉลาด และความเปราะบางที่ซ่อนอยู่ภายใน ขณะที่แอนนา เคนดริกก็เปล่งประกายในบทนาตาลี ด้วยความกระตือรือร้นและอุดมคติที่ค่อยๆ ถูกหล่อหลอมให้เข้าใจโลกแห่งความเป็นจริงมากขึ้น ส่วนเวร่า ฟาร์มิกาในบทอเล็กซ์ก็เป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์และลึกลับ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับไรอันมีความน่าสนใจ ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ฉากเลิกจ้างงานที่หดหู่ แต่ยังสอดแทรกความตลกขบขันและประเด็นเรื่อง ความโดดเดี่ยวในสังคมสมัยใหม่ ความสัมพันธ์ที่ไรอันสร้างขึ้นกับนาตาลีและอเล็กซ์ทำให้เขาเริ่มตั้งคำถามกับปรัชญาชีวิตที่ยึดมั่นมาตลอด เขาเริ่มเห็นคุณค่าของการมีคนอยู่เคียงข้างและการสร้างความผูกพันกับผู้อื่น Up in the Air ไม่ได้ให้คำตอบที่ตายตัว แต่ชวนให้ผู้ชมได้ใคร่ครวญถึงความหมายของชีวิต ความสุข และสิ่งที่สำคัญจริงๆ ในโลกที่หมุนไปอย่างรวดเร็วและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน มันเป็นภาพยนตร์ที่กระตุ้นความคิด สร้างความรู้สึกร่วม และทิ้งคำถามไว้ในใจผู้ชมได้อย่างน่าประทับใจ

อวตาร
หนัง

รีวิวหนัง Avatar The Way of Water อวตาร วิถีแห่งสายน้ำ

หลังจากรอคอยยาวนานกว่า 13 ปี Avatar ภาคต่อจากภาพยนตร์ระดับตำนานอวตาร วิถีแห่งสายน้ำ ก็กลับมาอย่างยิ่งใหญ่พร้อมการเล่าเรื่องที่ลึกซึ้งขึ้นกว่าเดิม โดยผู้กำกับเจมส์ คาเมรอนยังคงรักษาจิตวิญญาณของโลกแพนดอร่าไว้อย่างสมบูรณ์ แต่ในครั้งนี้เขาพาผู้ชมดำดิ่งสู่โลกใต้น้ำที่น่าตื่นตาตื่นใจ ทั้งในแง่ภาพ เสียง และอารมณ์ เรื่องราวในภาคนี้ดำเนินต่อจากภาคแรกหลายปี เมื่อเจค ซัลลี Jake Sully ได้กลายเป็นหนึ่งในชาวนาวีเต็มตัว พร้อมกับภรรยา เนย์ทีรี Neytiri ทั้งคู่มีลูกด้วยกันหลายคน ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอยู่ในป่าของแพนดอร่า แต่สันติภาพนั้นอยู่ไม่นาน เมื่อมนุษย์จากโลกกลับมาอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่เพื่อสำรวจ แต่เพื่อยึดครองและตั้งถิ่นฐานใหม่ เจคจึงตัดสินใจพาครอบครัวหลบหนีจากอันตราย ไปสู่ดินแดนใหม่ทางทะเลที่มีชนเผ่าเมตเคย์น่า (Metkayina) อาศัยอยู่ แกนกลางของภาพยนตร์คือ “ครอบครัว” และ “การปรับตัว” เจคต้องเรียนรู้วิถีแห่งน้ำ ทั้งในแง่วัฒนธรรมและการดำรงชีวิต เช่นเดียวกับลูกๆ ของเขาที่ต้องต่อสู้กับความแปลกแยกและการเติบโต ขณะเดียวกันศัตรูเก่าก็กลับมาในรูปแบบใหม่ ซึ่งนำไปสู่การปะทะทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างเข้มข้น ในด้านภาพยนตร์ อวตาร โดดเด่นอย่างยิ่งในเรื่องงานภาพ การใช้เทคโนโลยี Motion Capture ใต้น้ำที่ล้ำสมัยทำให้ฉากใต้น้ำดูมีชีวิตและสมจริงในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน โลกใต้ทะเลของแพนดอร่าเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตแปลกตา ปะการังเรืองแสง และฉากธรรมชาติที่ตระการตา ซึ่งสามารถดึงดูดผู้ชมให้หลุดเข้าไปในโลกแฟนตาซีได้อย่างง่ายดาย ดนตรีประกอบของไซมอน แฟรงกลินก็ช่วยเติมเต็มอารมณ์ให้กับฉากต่างๆ

หนัง

รีวิวหนัง F1 The Movie แว่วเสียงเครื่องยนต์กระหึ่ม สุดแสนไพเราะเร้าใจเป็นที่สุด

    จะบอกว่าเป็นว่าที่หนังเทคนิคงานสร้างสุดปังและกระหึ่มไปทุกโสตประสาทก็คงจะไม่ผิด เพราะการมาของหนังรถแข่งซิ่งแห่งปี F1 The Movie ทำให้ผู้ชมรับรู้ถึงแรงสัมผัสนั้นได้แต่ไกล ยิ่งได้เห็นชื่อผู้กำกับฝีมือเหลี่ยมทอง โจเซฟ โคซินสกี มาเป็นหัวเรือในการนำทีมสร้างหนังฟอร์มยิ่งใหญ่เรื่องนี้ มันยิ่งกระตุ้นความเร้าใจและเลือดสูบฉีดไปด้วยความหวังในมาตรฐานที่เคยสัมผัสผลงานของเขามาซอนนี่ เฮย์ส อดีตนักแข่งดาวรุ่งระดับตำนานแห่งยุค 90s แต่เพราะอุบัติเหตุร้ายแรงทำให้เส้นทางชีวิตของเขาต้องหักเหไปตลอดกาลห บัดนี้เขาเป็นนักแข่งรถรับจ้างมืออาชีพ กระทั่งเพื่อนเก่าปรากฏตัวต่อหน้าเขา พร้อมกับอ้อนวอนขอร้องให้กลับเข้ามาสู่วงการสนามแข่งอีกครั้ง เพื่อช่วยเหลือทีมรถแข่งที่กำลังเข้าตาจน และเพื่อฝึกสอนนักขับดาวรุ่งหน้าใหม่ ไปพร้อมกับการไขว่คว้าเกียรติยศให้ได้อีกสักครั้งหนึ่งในชีวิตหนังเรื่องนี้ก็คือผลงานที่มาได้ถูกที่ถูกจังหวะและอยู่ในมือของนักสร้างที่เหมาะเจาะเป็นอย่างดี บอกได้เลยว่า โจเซฟ โคซินสกี ใส่เครื่องแรงม้าจัดจ้านเข้าไปในหนังเรื่องนี้ได้อย่างจึ้งใจที่สุด ออกมาเป็นหนังความยาว 2 ชั่วโมงกว่า ๆ ที่ทำคนดูแทบจะไม่กะพริบตาและลืมหายใจได้เลย ต้องปรบมือให้กับวิสัยทัศน์ในการรังสรรค์งานสร้างที่ละเอียดยิบของเขา ที่ใส่ใจแทบจะทุกรายละเอียดแบบไม่มีอะไรตกหล่นเลยด้วย ออกมาเป็นอีกหนึ่งหนังรถแข่ง ที่เราเชื่อว่า F1 The Movie เป็นที่สุดหนังรถแข่งอย่างง่ายดายถึงแม้ว่าสูตรของหนังนี้แทบจะมาด้วยพิมพ์เดียวกับ Top Gun: Maverick ผลงานเรื่องที่แล้วของโจเซฟ เพราะส่วนหนึ่งก็ได้ทีมงานชุดเดิมกลับมาทำงานด้วย ซ้ำยังมี “เอเรน ครูเกอร์” มือเขียนบทคนเดิมกลับมาปั้นบทหนังเรื่องนี้ให้อีก ดังนั้นโครงสร้างและกลิ่นอายต่าง ๆ แทบจะใกล้เคียงกับที่เรื่องก่อน แต่ทว่าหนังเรื่องนี้เป็นการฉบับอัปเกรดยกระดับขึ้นอีก ไม่ใช่แค่เพียงแค่เครื่องบินรบมาเป็นรถแข่ง แต่เนื้อในต่าง

หยินหยาง อาจารย์จอมเวทปราบมาร
Uncategorized, หนัง

รีวิว หนัง หยินหยาง อาจารย์จอมเวทปราบมาร

ภาพยนตร์เรื่อง หยินหยาง อาจารย์จอมเวทปราบมาร บอกเล่าเรื่องราวของ ชิงหมิง อาจารย์จอมเวทหนุ่มผู้เก่งกาจและมีฝีมือ เขาได้รับคำสั่งให้เดินทางไปยังเมืองหลวงเพื่อเข้าร่วมพิธีบูชายัญสวรรค์ประจำปี ซึ่งจัดขึ้นเพื่อผนึกอสูรโบราณที่มีพลังมหาศาลนามว่า งูยักษ์ ที่ถูกจองจำไว้ในวังหลวงมานานนับร้อยปี ในพิธีนี้ ชิงหมิง ต้องร่วมมือกับจอมยุทธฝ่ายตรงข้ามซึ่งเป็นคู่แข่งของเขา นั่นคือ ป๋อหย่า นักรบผู้ยึดมั่นในความยุติธรรมและเกลียดชังปีศาจอย่างมาก จากการที่เขาเคยเห็นคนในครอบครัวถูกปีศาจทำร้าย การพบกันของทั้งคู่เริ่มต้นด้วยความไม่ลงรอยและไม่ไว้วางใจกัน เนื่องจากชิงหมิงเองก็มีครึ่งหนึ่งเป็นปีศาจ แต่เมื่อพวกเขาต้องเผชิญกับภัยคุกคามที่ซับซ้อนและอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาก็ค่อยๆ เรียนรู้ที่จะเข้าใจและร่วมมือกันนอกจากสองคนนี้แล้ว ยังมีตัวละครสำคัญอื่นๆ ได้แก่องค์หญิง ผู้ปกครองเมืองหลวงซึ่งดูเหมือนจะมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่เฮ่อโชวเยว่ อาจารย์ของชิงหมิง ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่จอมเวทผู้ยิ่งใหญ่ที่รับผิดชอบการผนึกงูยักษ์ในครั้งก่อนหลิงหลง ผู้พิทักษ์วังหลวง ซึ่งมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับองค์หญิง ในระหว่าง พิธีบูชายัญ กลับมีเหตุการณ์ฆาตกรรมปริศนาเกิดขึ้นในวังหลวงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ชิงหมิงและป๋อหย่าต้องร่วมกันสืบสวนหาตัวคนร้าย ยิ่งสืบลึกเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งค้นพบความจริงอันน่าตกใจว่าเหตุการณ์ทั้งหมดมีความเชื่อมโยงกับการคืนชีพของงูยักษ์ และแผนการร้ายของใครบางคนที่อยู่เบื้องหลังความจริงที่เปิดเผยออกมาคือ เฮ่อโชวเยว่ อาจารย์ของชิงหมิง ไม่ได้ตายไปอย่างที่คิด แต่เขากลับกลายเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด เขาต้องการที่จะปลดปล่อยงูยักษ์และรวมร่างกับมัน เพื่อให้ได้มาซึ่งพลังอำนาจสูงสุด และได้กลับมาอยู่กับองค์หญิงผู้เป็นที่รักตลอดไป โดยแท้จริงแล้ว องค์หญิงนั้นคือนางสนมผู้เป็นคนรักของเขาในอดีตที่กลับมาเกิดใหม่ ในอดีต งูยักษ์ ได้ทำลายบ้านเมืองขององค์หญิง ทำให้เธอเกลียดชังปีศาจ เฮ่อโชวเยว่จึงพยายามที่จะผนึกมันไว้ แต่ด้วยความรักอันมหาศาลที่มีต่อองค์หญิง เขาจึงใช้พลังของตนเองเพื่อปกป้องเธอ และสัญญาว่าจะอยู่เคียงข้างเธอตลอดไป อย่างไรก็ตาม เขาถูกปีศาจงูหลอกใช้

Chupa
หนัง

รีวิวภาพยนตร์ Chupa

“Chupa” ภาพยนตร์ผจญภัยแฟนตาซี จาก Netflix นำเสนอเรื่องราวสุดอบอุ่นหัวใจที่ผสมผสานตำนานพื้นบ้านของชูปากาบราเข้ากับการผจญภัยของเด็กหนุ่มผู้โดดเดี่ยว เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อ อเล็กซ์ เด็กชายวัย 13 ปี (แสดงโดย เอฟราอิน สกาย) ต้องเดินทางจากสหรัฐอเมริกาไปยังเม็กซิโกเพื่อเยี่ยมครอบครัวที่ไม่คุ้นเคย โดยเฉพาะคุณปู่ของเขา ชูปา (แสดงโดย เดเมียน บิเชียร์) อดีตนักมวยปล้ำลูชา ลิเบร ผู้เคร่งขรึม และลูกพี่ลูกน้อง ลูน่า (แสดงโดย แอชลีย์ การ์เซีย) กับ เมโมรี่ (แสดงโดย นิโคลัส เวอร์ดูโก) ที่ดูไม่เป็นมิตรเท่าไหร่ การปรับตัวให้เข้ากับชีวิตใหม่และวัฒนธรรมที่แตกต่างดูจะเป็นเรื่องยากสำหรับอเล็กซ์ผู้เก็บตัวและหมกมุ่นอยู่กับการเล่นวิดีโอเกม แต่แล้วโลกของอเล็กซ์ก็พลิกผันเมื่อเขาได้พบกับสิ่งมีชีวิตลึกลับที่ซ่อนตัวอยู่ในโรงนาของคุณปู่ นั่นก็คือ ชูปากาบราตัวน้อย ที่มีขนปุยน่ารัก ดวงตากลมโต และมีปีกคู่เล็กๆ ที่เพิ่งเริ่มงอก อเล็กซ์ตั้งชื่อให้มันว่า ชูปา (ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นชื่อเรื่อง) มิตรภาพอันน่าเหลือเชื่อก่อตัวขึ้นระหว่างเด็กชายและสัตว์วิเศษตัวนี้ ชูปาไม่ใช่สัตว์ประหลาดที่ดุดันตามตำนาน แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่อ่อนโยน ขี้เล่น และดูเหมือนจะหลงทาง อย่างไรก็ตาม ความสุขของพวกเขาก็อยู่ได้ไม่นาน เมื่อมีนักวิทยาศาสตร์ผู้บ้าคลั่ง ริชาร์ด ควินน์ (แสดงโดย คริสเตียน สเลเตอร์) ผู้หมกมุ่นอยู่กับการจับชูปากาบราเพื่อนำไปวิจัยและใช้ประโยชน์จากพลังของมัน การผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่จึงเริ่มต้นขึ้น เมื่ออเล็กซ์และครอบครัวต้องร่วมมือกันปกป้องชูปาให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของควินน์ และช่วยให้มันกลับไปหาครอบครัวที่แท้จริง ภาพยนตร์เรื่องนี้โดดเด่นด้วยภาพที่สวยงามและแอนิเมชันของชูปาที่ดูสมจริงและน่ารักจนอยากกอด การแสดงของนักแสดงเด็กอย่างเอฟราอิน สกาย ก็เป็นธรรมชาติและถ่ายทอดความรู้สึกโดดเดี่ยวและความผูกพันที่เกิดขึ้นได้อย่างน่าประทับใจ การแสดงของเดเมียน บิเชียร์ในบทคุณปู่ก็ช่วยเสริมมิติให้กับตัวละครและเพิ่มความอบอุ่นให้กับเรื่องราว แม้ว่าโครงเรื่องจะค่อนข้างตรงไปตรงมาและไม่ได้ซับซ้อนนัก แต่ “Chupa” ก็ยังคงมอบความบันเทิงและอารมณ์ขันได้ตลอดทั้งเรื่อง มีฉากที่น่าตื่นเต้นและน่ารักสลับกันไป ทำให้ผู้ชมรู้สึกร่วมไปกับการเดินทางของตัวละคร นอกจากนี้ยังสอดแทรกข้อคิดดีๆ เกี่ยวกับความสำคัญของครอบครัว การยอมรับความแตกต่าง และการกล้าที่จะยืนหยัดเพื่อปกป้องสิ่งที่ถูกต้อง แม้จะมีบางจุดที่คาดเดาได้ง่ายและเนื้อเรื่องไม่ได้แปลกใหม่นัก แต่ “Chupa” ก็เป็นภาพยนตร์ที่เหมาะสำหรับผู้ชมทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งครอบครัวที่กำลังมองหาภาพยนตร์ที่อบอุ่นใจ มีความตื่นเต้น และสร้างแรงบันดาลใจ มันเป็นเรื่องราวที่เตือนใจเราว่ามิตรภาพสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกรูปแบบ และบางครั้งสิ่งที่เรามองว่าเป็น “สัตว์ประหลาด” อาจจะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเราก็ได้ Chupa จึงเป็นภาพยนตร์ที่น่ารัก สนุกสนาน และเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ที่จะทำให้คุณตกหลุมรักเจ้าสัตว์วิเศษตัวน้อยนี้อย่างแน่นอน แล้วคุณล่ะ พร้อมที่จะออกผจญภัยไปกับอเล็กซ์และชูปาแล้วหรือยัง?

ท็อปกัน มาเวอริค
หนัง

รีวิวหนังเรื่อง Top Gun Maverick ท็อปกัน มาเวอริค

หลังจากเวลาผ่านไปกว่าสามทศวรรษ Top Gun Maverick ได้กลับมาสานต่อตำนานแห่งกองทัพอากาศสหรัฐฯ โดยยังคงใช้หัวใจหลักของภาคแรกคือ ความเร็ว อารมณ์ ความท้าทาย และการเสียสละ หนังภาคต่อนี้กำกับโดย Joseph Kosinski และนำแสดงโดย Tom Cruise ผู้กลับมารับบท “Pete ‘Maverick’ Mitchell” นักบินฝีมือระดับตำนานที่ยังคงใช้ชีวิตอยู่บนขอบของขีดจำกัด ท่ามกลางโลกที่เทคโนโลยีกำลังแทนที่มนุษย์ เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อ Maverick ได้รับคำสั่งให้กลับไปยังโรงเรียนฝึกนักบินรบ “TOP GUN” เพื่อฝึกทีมเฉพาะกิจในการปฏิบัติภารกิจสุดเสี่ยง ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่ยากไปกว่านั้นคือในกลุ่มนักบินที่เขาต้องฝึก มี “Bradley ‘Rooster’ Bradshaw” ลูกชายของเพื่อนรักที่เสียชีวิตจากภาคแรก ซึ่งเต็มไปด้วยความขัดแย้งในอดีต ทั้งความรู้สึกผิด ความเจ็บปวด และการให้อภัย สิ่งที่หนังเรื่องนี้ทำได้อย่างโดดเด่นคือการนำเสนอฉากบินที่แทบไม่พึ่ง CGI โดยมีการถ่ายทำในเครื่องบินจริง ใช้กล้องความเร็วสูง และนักแสดงต้องฝึกบินจริงก่อนเข้าฉาก ซึ่งทำให้ทุกซีนของการบินดูสมจริง หวาดเสียว และเต็มไปด้วยพลัง ทั้งเสียงเครื่องยนต์ เสียงหายใจ และแรงเหวี่ยงในห้องนักบิน ถ่ายทอดความรู้สึกของนักบินอย่างแท้จริง   Tom Cruise ยังคงพิสูจน์ให้เห็นถึงพลังของนักแสดงระดับฮอลลีวูดที่ทุ่มเทสุดตัวกับบทบาท

Scroll to Top