หนัง

หนัง

หนัง

รีวิวหนัง Brick กำแพง ไขปริศนาติดอยู่ในตึก คอนเซ็ปต์แจ่ม..แต่กระบวนท่าอาจยังโฉบไม่ถึง

  ถ้าหากว่าคุณเป็นแฟนตัวยงในคอนเทนท์สยองลึกลับคลี่คลายปริศนา สไตล์ The Platform หรือ Squid Game หนังเยอรมันเรื่องนี้ก็น่าจะมาช่วยเติมเต็มความต้องการของคุณได้ใน Brick กำแพง หนังระทึกขวัญไซไฟที่มาพร้อมกับปริศนาในรูปแบบกำแพงหนา และประเด็นที่รอคอยให้ตัวละครและผู้ชมมาช่วยกันสืบค้นหากันไปสู่คำตอบเรื่องราวของ ทิม กับ โอลิเวีย คู่รักที่กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาชีวิตคู่ระหองระแหง แต่เมื่อตื่นเช้าขึ้นมาพวกเขาก็ค้นพบว่าอะพาร์ตเมนต์ที่อาศัยอยู่ที่ปิดล้อมไปด้วยกำแพงอิฐลึกลับอย่างเป็นปริศนา มันคือกำแพงประหลาดที่ไม่สามารถเจาะหรือทำลายมันได้เลย ซ้ำร้ายสิ่งอุปโภคต่าง ๆ ถูกตัดขาด ไม่มีน้ำ ไม่มีอาหาร ไม่มีสัญญาณการสื่อสาร ทำให้พวกเขาต้องร่วมมือกับเหล่าเพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ในตึกเดียวกัน เพื่อค้นหาทางออกก่อนจะทุกอย่างจะสายเกินไปนี่คือผลงานล่าสุดของนักสร้างหนังชาวเยอรมัน ฟิลลิป คอช (จากหนัง Picco) โดยเขารับหน้าที่กำกับและเขียนบทหนังเองทั้งหมด แน่นอนว่าเรื่องย่อหรือตัวอย่างหนังแทบจะไม่บอกข้อมูลอะไรเกี่ยวกับเนื้อหาของหนังเรื่องนี้มากนัก เป็นกิมมิกที่ทำให้ผู้ชมต้องไปร่วมแก้ปมและเสาะหากันเองต่อเองกันในหนัง นั่นจึงเป็นสิ้่งที่ทำให้คน ดูก็รู้สึกสับสนไม่ต่างไปจากตัวละครในหนัง ว่าแท้ที่จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับสตอรี่เรื่องนี้กันแน่          หนังค่อย ๆ ไล่เรียงความลึกลับไปตามเส้นทางรอยเท้าของคาแรกเตอร์ต่าง ๆ ใส่ปริศนาและวความ ลึกลับเพิ่มขึ้นทีละน้อย แต่ทว่าความซับซ้อนอาจจะไม่ได้กลมกล่อมและจัดจ้านในอรรถรสขนาดนั้น เป็นเพียงหนังที่สร้างสถานการณ์บีบคั่นทีละเรื่อย ๆ ให้ผู้ชมได้เกิดความตึงเครียดตาม โดยที่ข้อมูลต่าง ๆ ก็แทบจะไม่ได้ช่วยเพิ่มพูนความกระจ่างได้มากขึ้นสักเท่าไหร่ ไปจนกว่าจะถึงฉากสุดท้ายของเรื่องนั่นเองจังหวะการเล่าเรื่องดูเหมือนความลึกลับจะเป็นไอเดียที่สนุก แต่ว่า Brick กำแพง ไขปริศนาติดอยู่ในตึก […]

หนัง

รีวิวภาพยนตร์ Killers of the Flower Moon ฆาตกรแห่งดอกไม้เลือด

สำหรับภาพยนตร์เรื่อง Killers of the Flower Moon หรือชื่อไทยว่า “ฆาตกรแห่งดอกไม้เลือด” เป็นผลงานการกำกับของ Martin Scorsese ผู้กำกับระดับตำนานที่กลับมาอีกครั้งพร้อมงานสุดเข้มข้นที่ผสมผสานทั้งประวัติศาสตร์ ดราม่า และอาชญากรรมเข้าด้วยกันอย่างทรงพลัง ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากหนังสือขายดีของ David Grann ที่เล่าถึงเหตุการณ์จริงในยุคปี 1920 เมื่อเกิดคดีฆาตกรรมต่อเนื่องในชาวโอเซจ (Osage Nation) ชนพื้นเมืองอเมริกันที่ร่ำรวยที่สุดในโลกจากการค้นพบน้ำมันบนผืนดินของพวกเขาเอง ตัวเรื่องโฟกัสไปที่ความสัมพันธ์ระหว่าง เออร์เนสต์ เบิร์กฮาร์ต (รับบทโดย Leonardo DiCaprio) กับ มอลลี่ โอเซจ (Lily Gladstone) หญิงสาวพื้นเมืองที่กลายเป็นเหยื่อในกระบวนการกอบโกยผลประโยชน์อย่างเลือดเย็น ภายใต้การชักใยของ วิลเลียม เฮล (Robert De Niro) ลุงของเออร์เนสต์ ผู้ทรงอิทธิพลในท้องถิ่นที่วางแผนกำจัดชาวโอเซจทีละคนอย่างเป็นระบบ เพื่อหวังฮุบมรดกน้ำมันที่ตกเป็นของหญิงสาวเหล่านั้น สิ่งที่ทำให้โดดเด่นไม่ใช่แค่การแสดงระดับปรมาจารย์ของนักแสดงนำทั้งสามคน แต่คือการเล่าเรื่องที่ซื่อสัตย์และเคารพต่อประวัติศาสตร์จริง ภาพยนตร์ไม่ได้เร่งเร้า แต่ค่อย ๆ คลี่คลายความจริงผ่านสายตาของตัวละครที่ค่อย ๆ ตระหนักรู้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของสิ่งที่พวกเขาเกี่ยวข้อง บทภาพยนตร์ละเอียดลึกซึ้ง สะท้อนให้เห็นถึงระบบที่เอื้อให้คนขาวกดขี่และฆ่าคนพื้นเมืองได้อย่างไร้ความผิด การถ่ายภาพของ

รีวิว หอแต๋วแตก แหกสัปะหยด จะฮา จะหลอน ไปดูกัน
หนัง

รีวิว หอแต๋วแตก แหกสัปะหยด จะฮา จะหลอน ไปดูกัน

กลับมาอีกครั้งกับจักรวาล หนังผีตลก ล้อเลียนที่อยู่คู่วงการหนังไทยมายาวนานถึง 17 ปีเต็ม สำหรับ “หอแต๋วแตก แหกสัปะหยด” ที่ภาคนี้เขาได้บัญญัติไว้ว่าจะเป็นภาคจบ (แต่ก็ไม่รู้ว่าจะจบกี่โมงจริงหรือไม่) เรียกได้ว่าคนดูได้เติบโตมากับหนังชุดนี้จริงๆ แล้วมาถึงในตอนล่าสุดที่เป็นการจับเอาหนังผีไทยสุดปังทั้ง 2 เรื่องมาต้มยำทำแกง แม้ว่าบางคนจะรู้สึกแขยงๆ กับหนังชุดนี้ แต่บอกเลยว่า..ภาคนี้มหัศจรรย์กว่าที่คิดไว้นะ เนื้อเรื่องย่อ หอแต๋วแตก แหกสัปะหยด การเดินทางไขปริศนาอาการประหลาดของอาโคย นำพาเจ๊แต๋วไปยังหมู่บ้าน “สัปะหยด” สถานที่ห่างไกลผู้คน ที่นั่น เธอได้พบกับเบาะแสบางอย่าง ชวนให้สงสัยว่าวิญญาณร้ายอาจเป็นตัวการ แต่ระหว่างการสืบหาความจริง เรื่องราวกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อเจ๊แต๋วต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์สุดสยอง ที่ท้าทายความกล้า แถม แพนด้า ผู้ช่วยคนสนิท ก็ดันหายตัวไปอย่างลึกลับ! วิกฤตครั้งนี้ เจ๊แต๋วจะสามารถเอาชนะและช่วยเหลือทุกคนได้อย่างไร? ติดตามความสนุกเต็มรูปแบบได้ในโรงภาพยนตร์ งานด้านโปรดักชั่นของหอแต๋วแตกไม่ได้โดดเด่นจนต้องชมมาก แต่ก็ไม่ได้แย่จนน่าเกลียด สมกับเป็นหนังตลกทุนไม่สูงนัก ฉากต่างๆ ส่วนใหญ่เน้นความเรียบง่าย แต่สิ่งที่พอจะดึงดูดความสนใจได้คือบรรยากาศความหลอนๆ ของหมู่บ้านสัปะหยด กับการใช้เอฟเฟกต์ประกอบฉากแบบง่ายๆ แต่ก็ได้ผลอยู่บ้าง สิ่งที่แฟนๆ น่าจะสนใจมากกว่าคือมุกตลกนี่แหละค่ะ ภาคนี้มีทั้งมุกแบบที่เคยเห็นจากภาคก่อนๆ และจังหวะใหม่ๆ เน้นฮาแบบคำหยาบ ตบหัวกันไปมา ซึ่งถูกใจคอหนังแนวนี้หรือไม่นั้น ก็แล้วแต่รสนิยมของแต่ละคนเลย

oppenheimer
หนัง

รีวิวภาพยนตร์เรื่อง Oppenheimer ออพเพนไฮเมอร์

ภาพยนตร์ Oppenheimer กำกับโดย คริสโตเฟอร์ โนแลน เป็นหนึ่งในผลงานที่สะเทือนอารมณ์และทรงพลังมากที่สุดแห่งปี เรื่องราวบอกเล่าชีวประวัติของ “เจ. โรเบิร์ต ออพเพนไฮเมอร์” นักฟิสิกส์ผู้ได้รับฉายาว่า “บิดาแห่งระเบิดปรมาณู” ผ่านมุมมองอันซับซ้อนของบุรุษที่ต้องเผชิญหน้ากับผลลัพธ์จากสิ่งที่เขาเป็นผู้สร้างขึ้น ตัวภาพยนตร์ใช้เทคนิคการเล่าเรื่องแบบไม่เรียงตามเวลา สลับระหว่างเหตุการณ์ในอดีตและการไต่สวนในอนาคต ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของผู้กำกับโนแลน นอกจากจะเล่าเรื่องการทดลองระเบิดในโครงการแมนฮัตตันแล้ว ยังเจาะลึกจิตใจของตัวละครออพเพนไฮเมอร์ ว่าเขาต้องแบกรับความรู้สึกผิด ความสับสน และความหวาดหวั่นต่อสิ่งที่เขาได้ปลดปล่อยออกมา สิ่งที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้โดดเด่นไม่ใช่แค่การสร้างภาพฉากระเบิด หรือการใช้เทคนิคพิเศษ แต่คือบทสนทนาอันเฉียบคมและการแสดงอันลึกซึ้งของ Cillian Murphy ในบทของออพเพนไฮเมอร์ เขาสื่ออารมณ์ของตัวละครได้อย่างละเอียดละเมียด ไม่ว่าจะเป็นฉากของความอึดอัดในห้องประชุม ฉากหวาดกลัวเมื่อได้ยินเสียงปรมาณูถล่มญี่ปุ่น หรือแม้แต่ช่วงเวลาที่เขานิ่งเงียบแต่เต็มไปด้วยความรู้สึกภายใน ดาราสมทบก็ไม่ธรรมดา เช่น Robert Downey Jr. ที่พลิกบทบาทจากโทนี่ สตาร์ก มารับบท ลูอิส สเตราส์ ได้อย่างน่าทึ่ง ทั้งสุขุม เฉียบขาด และเต็มไปด้วยมิติ ขณะที่ Emily Blunt ในบทภรรยาของออพเพนไฮเมอร์ ก็ช่วยขับเน้นด้านชีวิตส่วนตัวที่สั่นคลอนของเขาได้อย่างชัดเจน แม้จะมีความยาวถึง 3 ชั่วโมง แต่การตัดต่อและการวางจังหวะเรื่องทำให้ผู้ชมไม่รู้สึกเบื่อ ความเข้มข้นของบทสนทนาและบรรยากาศในเรื่องผลักดันให้คนดูไม่อาจละสายตาได้

หนัง

รีวิวภาพยนตร์เรื่อง Elvis เอลวิส

สำหรับภาพยนตร์ Elvis คือการเล่าประวัติที่เล่าเรื่องราวชีวิตของ ราชาร็อกแอนด์โรล เอลวิส เพรสลีย์ (Elvis Presley) ได้อย่างเข้มข้นและเต็มไปด้วยพลังงาน ผ่านมุมมองที่แตกต่างจากหนังชีวประวัติทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนำเสนอผ่านสายตาของ “พันเอกทอม พาร์กเกอร์” ผู้จัดการส่วนตัวของเอลวิส ที่ทั้งส่งเสริมและบงการชีวิตเขาแทบทุกด้าน ทำให้หนังมีมิติที่น่าสนใจทั้งในแง่ดราม่าและจิตวิทยาความสัมพันธ์ กำกับโดย บาซ เลอร์แมน (Baz Luhrmann) ผู้มีสไตล์อันโดดเด่นในการเล่าเรื่องแบบเร้าอารมณ์ ใช้สีสันจัดจ้าน การตัดต่อเร็ว และดนตรีประกอบอันล้ำสมัย ซึ่งทั้งหมดนี้ปรากฏชัดเจนใน Elvis หนังเล่าเรื่องอย่างรวดเร็ว กระชับ และเต็มไปด้วยฉากที่พุ่งพรวดราวกับเวทีคอนเสิร์ต ความโดดเด่นนี้ช่วยขับเน้นความยิ่งใหญ่ของเอลวิสในช่วงรุ่งเรือง และตัดกับช่วงตกต่ำอย่างเจ็บปวด การแสดงของ ออสติน บัตเลอร์ (Austin Butler) ในบทเอลวิสนั้นน่าทึ่งและน่าจดจำ บัตเลอร์ไม่ได้แค่เลียนแบบบุคลิกของเอลวิส แต่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ ความสับสน ความขัดแย้งภายในจิตใจ และแรงกดดันที่ต้องแบกรับชื่อเสียงระดับโลกได้อย่างลึกซึ้ง ทั้งน้ำเสียง การเคลื่อนไหว ไปจนถึงพลังบนเวที การแสดงของเขาได้รับคำชมมากมาย และเป็นจุดแข็งสำคัญของหนังเรื่องนี้ ในด้านบทภาพยนตร์ หนังเล่าเรื่องตั้งแต่วัยเด็กของเอลวิสที่เติบโตในย่านคนผิวสีและได้รับอิทธิพลจากดนตรีกอสเปล จนถึงจุดสูงสุดในอาชีพการงาน ไปจนถึงช่วงท้ายชีวิตที่เต็มไปด้วยความอ่อนล้าและโดดเดี่ยว สิ่งที่หนังพยายามสะท้อนออกมาคือความขัดแย้งระหว่างศิลปินผู้เปี่ยมไปด้วยความรักในเสียงเพลง กับวงการบันเทิงที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์และการควบคุม

หนังไซไฟแอคชั่นเรื่อง Seobok (ซอบก มนุษย์อมตะ)
หนัง

หนังไซไฟแอคชั่นเรื่อง Seobok (ซอบก มนุษย์อมตะ)

สำหรับหนังเรื่อง Seobok กำกับโดย Lee Yong-ju เป็นหนึ่งในผลงานที่ท้าทายความคิดของผู้ชมด้วยการตั้งคำถามเกี่ยวกับจริยธรรมของการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และความหมายของความเป็นมนุษย์ เรื่องราวนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แต่ยังชวนให้เราตั้งคำถามว่า “เราจะยอมแลกอะไรเพื่อความก้าวหน้าทางการแพทย์?” ตัวละครหลักของเรื่องคือ “ซอโบก” (รับบทโดย Park Bo-Gum) เด็กหนุ่มที่ถูกสร้างขึ้นในห้องทดลองด้วยการดัดแปลงพันธุกรรม เขามีความสามารถพิเศษในการฟื้นฟูตัวเองและควบคุมสิ่งรอบตัวได้ แต่ความสามารถนี้มาพร้อมกับราคาที่ต้องจ่าย นั่นคือเขาต้องได้รับยาชนิดพิเศษทุก 24 ชั่วโมงเพื่อควบคุมการแบ่งตัวของเซลล์ มิเช่นนั้นเขาจะเสียชีวิต เมื่อห้องทดลองถูกโจมตี อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกร่องชื่อ “คีฮอน” (รับบทโดย Gong Yoo) ถูกมอบหมายให้พาซอโบกไปยังสถานที่ปลอดภัยใหม่ การเดินทางครั้งนี้ไม่เพียงแต่เต็มไปด้วยอันตราย แต่ยังเผยให้เห็นความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างมนุษย์และสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา เรื่องย่อ ซอบก มนุษย์อมตะ ซอโบก เป็นผลผลิตของการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ก้าวล้ำเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการได้ เขาไม่เพียงแต่มีพลังในการรักษาตัวเอง แต่ยังสามารถควบคุมสิ่งรอบตัวได้ด้วยพลังจิต อย่างไรก็ตาม ความสามารถเหล่านี้มาพร้อมกับข้อจำกัดที่ร้ายแรง นั่นคือเขาต้องได้รับยาชนิดพิเศษทุกวันเพื่อควบคุมการแบ่งตัวของเซลล์ เมื่อห้องทดลองถูกโจมตี อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกร่องชื่อ คีฮอน (Gong Yoo) ถูกมอบหมายให้พาซอโบกไปยังสถานที่ปลอดภัยใหม่ คีฮอนเองก็มีเหตุผลส่วนตัวในการรับงานนี้ เขาป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หายและถูกเสนอให้ได้รับเลือดของซอโบกเพื่อรักษาตัวเอง การเดินทางครั้งนี้ไม่เพียงแต่เต็มไปด้วยอันตราย แต่ยังเผยให้เห็นความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างมนุษย์และสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา ซอโบกที่เพิ่งได้สัมผัสโลกภายนอกเป็นครั้งแรกเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับความหมายของชีวิต ในขณะที่คีฮอนต้องเผชิญกับความจริงที่ว่าเขาอาจต้องแลกชีวิตของซอโบกเพื่อรักษาตัวเอง หนึ่งในประเด็นหลักของ ซอบก มนุษย์อมตะ

หนัง

รีวิวภาพยนตร์ The Whale บทบันทึกสุดสะเทือนใจของความสูญเสีย

ภาพยนตร์ดราม่าที่สะเทือนใจ The Whale ผลงานการกำกับของ Darren Aronofsky และบทภาพยนตร์โดย Samuel D. Hunter ดัดแปลงจากบทละครเวทีชื่อเดียวกัน โดยมี Brendan Fraser รับบทนำในบทของ “ชาร์ลี” ชายร่างใหญ่น้ำหนักกว่า 600 ปอนด์ที่ใช้ชีวิตอย่างสันโดษในอพาร์ตเมนต์เล็กๆ ของเขา และต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดทั้งทางกายและใจในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของชีวิต หนังเปิดเรื่องด้วยชีวิตของชาร์ลีที่แทบจะไม่สามารถลุกเดินได้อีกต่อไป เขาทำงานสอนภาษาอังกฤษผ่านออนไลน์โดยไม่เปิดกล้องให้นักเรียนเห็น เขามีเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวคือ ลิซ (รับบทโดย Hong Chau) พยาบาลที่ดูแลเขาด้วยความห่วงใย แม้จะเต็มไปด้วยความหงุดหงิดจากการที่ชาร์ลียังไม่ยอมไปรักษา ในขณะเดียวกัน เขาก็พยายามรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับลูกสาววัยรุ่น เอลลี (รับบทโดย Sadie Sink) ที่เขาเคยทิ้งไปเมื่อหลายปีก่อน ด้วยความหวังว่าการพบกันอีกครั้งจะเป็นการไถ่บาปสุดท้ายก่อนที่ร่างกายของเขาจะพังลงอย่างไม่อาจฟื้นได้ สิ่งที่โดดเด่นในภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ใช่เพียงเนื้อเรื่องที่เข้มข้นและสะเทือนใจ แต่เป็นการแสดงอันน่าทึ่งของ Brendan Fraser ที่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกที่ซับซ้อนทั้งความสิ้นหวัง ความเจ็บปวด ความรัก และความรู้สึกผิดออกมาได้อย่างลึกซึ้งและน่าหดหู่ การกลับมาครั้งนี้ของเขาถือเป็นการพลิกชีวิตอย่างแท้จริง และได้รับคำชื่นชมจากทั่วโลก รวมถึงรางวัลออสการ์นักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในปี 2023 แม้ว่าเนื้อหาจะดำเนินอยู่ในฉากที่จำกัดเพียงอพาร์ตเมนต์หลังเดียวเกือบตลอดเรื่อง แต่กลับเต็มไปด้วยความหนักแน่นทางอารมณ์ บทสนทนาคมคาย เต็มไปด้วยคำถามเชิงปรัชญา ศีลธรรม

หนัง

รีวิวหนัง Ziam ปากกัด ตีนถีบ หมัดหนักๆ เตะเน้น ๆ กระซวกใส่มาตรฐานซอมบี้ไทย ๆ

   กลายเป็นหนึ่งในหนังไทยที่คอหนังต่างเฝ้ารอดูว่าจะออกมาเป็นอย่างไร สำหรับ Ziam ปากกัด ตีนถีบ ที่กลายเป็นหนังซอมบี้แบบไทย ๆ เรื่องล่าสุด ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหนังไทยมีความพยายามจะแตะต้องคอนเทนท์แนวนี้อยู่หลายครั้ง แต่กลับยังไม่มีเรื่องไหนให้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจผู้บริโภคเท่าที่ควร เมื่อมาถึงหนังเรื่องนี้ที่เป็นการปูทางเป็นเมืองไทยยุคดิสโทเปียกับฝันร้ายโรคระบาด ที่ผนวกเข้ากับศิลปะแมกไม้มวยไทยสิง อดีตนักมวยอาชีพ ที่วางแผนจะเดินทางกลับบ้านเกิดเพื่อใช้ชีวิตบั้นปลายกับ ริน แพทย์หญิงผู้เป็นแฟนสาว แต่ความฝันอันเรียบง่ายของพวกเขากลับต้องพังทลายลง เมื่อโรงพยาบาลที่รินทำงานอยู่กำลังเผชิญกับฝูงซอมบี้กระหายเลือด สิง จึงต้องงัดหมัดและแข้งอันแข็งแกร่งมาใช้ในภารกิจสุดอันตราย เพื่อช่วยชีวิตแฟนสาวและ บัดดี้ จากฝูงซอมบี้ไม่คาดหวัง..ก็อาจจะไม่ผิดหวัง เป็นนิยามที่ท่องเอาไว้เสมอ ๆ ตลอดที่ดูหนังเรื่องนี้ เพราะนี่คือผลงานงานสร้างในเครือกันตนา ผู้ผลิตค่ายเก่าแก่คู่วงการบันเทิงไทยมายาวนาน ที่เราน่าจะคุ้นเคยในศักยภาพและท่วงท่าในผลงานจากค่ายนี้กันมาพอสมควร ประกอบกับเรื่องนี้ได้หนึ่งในหัวเรือประจำค่าย “กัลป์ กัลย์จาฤก” มานั่งเก้าอี้ผู้กำกับด้วย ทำให้เราต้องตั้งการ์ดขึ้นมาให้มั่น เตรียมเผชิญหน้ากับคอนเทนท์แนวเสียดสีสังคมและการเมืองอย่างเลี่ยงไม่ได้แน่ ๆ       แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ Ziam ปากกัด ตีนถีบ กลายเป็น หนังซอมบี้ ที่เต็มไปด้วยสตอรีที่เย้ยหยันความเหลื่อมล้ำในสังคมตั้งแต่ฉากแรก อันเป็นเอกลักษณ์และลีลาที่โดดเด่นของค่ายนี้ที่ช่วงหลัง ๆ เขาแตะต้องจิกกัดพวกระบบนายทุนเอาไว้แสบยิบ ๆ ไม่น้อยเลย ถึงแม้ว่าในแง่พล็อตหนังจะไม่มีอะไรแปลกใหม่แต่อย่างใดเลย ระดับความอิมแพคต่าง ๆ ค่อนข้างต่ำ แต่กลับสอดแทรกอินเนอร์ความบันเทิงเอาไว้ดีใช้ได้น่าเสียดายที่โลกที่หนังเรื่องนี้ได้ทำการปูทางและสร้างเอาไว้นั้น

รีวิวภาพยนตร์ ซูเปอร์แมน (Superman) 2025
หนัง

รีวิวภาพยนตร์ ซูเปอร์แมน (Superman) 2025

ในยุคที่ภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่เต็มไปด้วย CGI อลังการและเรื่องราวที่ซับซ้อน Superman (2025) ภายใต้การกำกับของ James Gunn กลับมาพร้อมความสดใหม่ แต่ยังคงกลิ่นอายของความเป็น ซูเปอร์แมน ที่เราคุ้นเคย ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่เพียงแค่พาเราไปพบกับ Clark Kent และ Lois Lane ในมุมมองใหม่ แต่ยังหยิบยกประเด็นที่ทันสมัย เช่น การเมืองและจริยธรรมของการเป็น ซูเปอร์ฮีโร่ มาสร้างความน่าสนใจให้กับผู้ชม ในฐานะคนที่เติบโตมากับ Superman ตั้งแต่ยุค Christopher Reeve มาจนถึง Henry Cavill ต้องบอกว่างานชิ้นนี้ของ Gunn มีทั้งจุดที่ทำให้ใจเต้นและช่วงที่ทำให้รู้สึกว่า “นี่มันเหมือนกินแฮมเบอร์เกอร์ที่อร่อยแต่ขาดอะไรบางอย่างไป” มาดูกันว่า Superman (2025) มีอะไรที่ทำให้เราต้องพูดถึง และทำไมมันถึงเป็นมากกว่าแค่ภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่อีกเรื่อง หนึ่งในช่วงเวลาที่น่าจดจำที่สุดใน Superman (2025) คือฉากที่ Lois Lane (รับบทโดย Rachel Brosnahan) กลับบ้านมาเจอ Clark Kent (รับบทโดย David

จูราสสิค เวิลด์ กำเนิดชีวิตใหม่ (Jurassic World Rebirth) 2025
หนัง

จูราสสิค เวิลด์ กำเนิดชีวิตใหม่ (Jurassic World Rebirth) 2025

สำหรับหนังเรื่อง จูราสสิค เวิลด์ กำเนิดชีวิตใหม่ 2025 เป็นภาคล่าสุดของแฟรนไชส์จูราสสิค พาร์ค ที่แฟนๆ รอคอย แต่จะสนุกและตื่นเต้นแค่ไหน? มาร่วมติดตามรีวิวและไขข้อข้องใจไปด้วยกัน ภาพยนตร์เรื่องนี้พาเรากลับไปสู่โลกที่เต็มไปด้วยไดโนเสาร์อีกครั้ง ภายใต้การกำกับของ Gareth Edwards ที่เคยสร้างผลงานอย่าง Rogue One: A Star Wars Story และ The Creator มาแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้พยายามผสมผสานความตื่นเต้นจากภาคก่อนๆ กับข้อคิดเตือนใจเกี่ยวกับโลกปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวิพากษ์วิจารณ์ระบบทุนนิยมที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความบันเทิง อย่างไรก็ตาม ภาพยนตร์เรื่องนี้มีทั้งจุดเด่นและจุดด้อย บางช่วงทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นเหมือนดูภาคแรก แต่บางช่วงก็รู้สึกว่ายืดเยื้อและไม่ค่อยมีอะไรใหม่ ซึ่งจะพาเรากลับไปสู่โลกที่เต็มไปด้วยไดโนเสาร์อีกครั้ง ภายใต้การกำกับของ Gareth Edwards ที่เคยสร้างผลงานอย่าง Rogue One: A Star Wars Story และ The Creator มาแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้พยายามผสมผสานความตื่นเต้นจากภาคก่อนๆ กับข้อคิดเตือนใจเกี่ยวกับโลกปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวิพากษ์วิจารณ์ระบบทุนนิยมที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความบันเทิง อย่างไรก็ตาม ภาพยนตร์ เรื่องนี้มีทั้งจุดเด่นและจุดด้อย บางช่วงทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นเหมือนดูภาคแรก

Scroll to Top