⚡️ รีวิวหนัง: Frankenstein ฉบับมหากาพย์ปี 1994 เมื่อความทะเยอทะยานของมนุษย์แปรผันเป็นโศกนาฏกรรมอมตะรีวิวนี้จะเน้นไปที่ภาพยนตร์ “Mary Shelley’s Frankenstein” (1994) กำกับและนำแสดงโดย Kenneth Branagh ที่ถูกยกให้เป็นฉบับที่ใกล้เคียงกับนวนิยายต้นฉบับของ Mary Shelley มากที่สุดฉบับหนึ่งในโลกภาพยนตร์
📖 ส่วนที่ 1: การเปิดเรื่องที่ทรงพลังและจุดยืนของ “มหากาพย์”
ภาพยนตร์เรื่องนี้ประกาศตัวตั้งแต่ต้นว่าเป็นฉบับที่อิงตาม “นวนิยาย” ไม่ใช่ “ตำนานฮอลลีวูด” การเปิดเรื่องในทุ่งน้ำแข็งอาร์กติกเป็นการเชื่อมโยงผู้ชมเข้าสู่กรอบเรื่องเล่าของ กัปตันวอลตัน ที่ได้พบกับ วิคเตอร์ แฟรงเกนสไตน์ ที่กำลังตามล่าสิ่งที่เขาเองได้สร้างขึ้นมา ในช่วงแรก Branagh ได้ใส่พลังงานที่เกินจริงเข้าไปในทุกฉาก ราวกับว่าเขาต้องการเนรมิตทุกรายละเอียดของหนังสือให้กลายเป็นงานสร้างที่ ใหญ่โต และ บ้าคลั่ง อย่างไร้ขีดจำกัด การกำกับของเขาเต็มไปด้วยมุมกล้องที่หวือหวา เสียงดนตรีที่โหมกระหน่ำ และการแสดงที่เต็มไปด้วยอารมณ์ที่พุ่งพล่าน ซึ่งทำให้หนังเรื่องนี้แตกต่างจากเวอร์ชั่นก่อน ๆ ที่เน้นความสยองขวัญแบบเรียบง่าย แต่ฉบับนี้กลับมุ่งเน้นไปที่ ความยิ่งใหญ่ของแนวคิดและอารมณ์
🔬 ส่วนที่ 2: วิคเตอร์ แฟรงเกนสไตน์… ผู้ชายที่อยากเป็นพระเจ้า
Kenneth Branagh รับบทเป็น วิคเตอร์ แฟรงเกนสไตน์ ได้อย่างสมบูรณ์แบบในแง่ของ ความคลั่งไคล้และหลงใหล ในการเอาชนะความตาย ความหมกมุ่นของเขาเริ่มต้นจากความเศร้าโศกต่อการจากไปของมารดา ซึ่งกลายเป็นเชื้อเพลิงผลักดันให้เขาเดินทางสู่จุดสูงสุดของวิทยาศาสตร์ที่ไม่มีใครเคยไปถึง วิคเตอร์ไม่ใช่แค่นักวิทยาศาสตร์บ้า ๆ แต่เป็นชายหนุ่มที่ เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง ที่อยากจะสวมบทบาทเป็น “พระเจ้า” ผู้มอบชีวิต
ฉากสร้างสิ่งมีชีวิต (The Creation Scene) คือไฮไลท์ของฉบับนี้ Branagh แสดงออกถึงความบ้าคลั่งและความเป็นอัจฉริยะในห้องแล็บที่สกปรกชื้นแฉะ เขาใช้ไฟฟ้าจากปลาไหลและพลังงานฟ้าผ่าเพื่อชุบชีวิต การแสดงที่เหงื่อท่วมกายและตะโกนด้วยความลิงโลดนั้น สะท้อนให้เห็นถึง เส้นบาง ๆ ระหว่างความรุ่งโรจน์และความวิบัติ ได้อย่างชัดเจน แต่เมื่อสิ่งมีชีวิตลืมตาขึ้นมา ความตื่นเต้นก็แปรเปลี่ยนเป็น ความขยะแขยงและความกลัว ทันที และการตัดสินใจ “ละทิ้ง” นฤมิตกรรมของเขานี่แหละ คือ โศกนาฏกรรมที่แท้จริง ของเรื่องนี้

💔 ส่วนที่ 3: “สัตว์ประหลาด” ผู้มีหัวใจ… ในร่างที่ไม่สมบูรณ์
บทบาทของ “สิ่งมีชีวิต” (Creature) ที่รับบทโดยนักแสดงระดับตำนานอย่าง Robert De Niro เป็นสิ่งที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีมิติทางอารมณ์ที่ลึกซึ้งอย่างแท้จริง De Niro นำเสนอสัตว์ประหลาดที่ไม่ได้มีแค่พละกำลังน่ากลัว แต่มี ความบริสุทธิ์ ในช่วงแรกเริ่ม เขาเหมือนเด็กที่เพิ่งเกิดมาในร่างของผู้ใหญ่ที่น่าเกลียดน่ากลัว
สิ่งมีชีวิตถูกสังคมปฏิเสธทุกครั้งที่เขาพยายามเข้าใกล้มนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ หรือครอบครัวตาบอดที่เคยให้ความเมตตา การเรียนรู้ภาษาและความรู้ของเขาไม่ได้นำมาซึ่งความสุข แต่กลับนำมาซึ่งความเข้าใจถึง ความอัปลักษณ์ของตัวเอง และ ความโหดร้ายของมนุษย์ การแสดงที่น่าเศร้าและเจ็บปวดของ De Niro ทำให้ผู้ชมรู้สึกเห็นใจและเข้าใจว่า ความแค้น ของเขาไม่ได้เกิดจาก “ธรรมชาติ” แต่เกิดจากการถูก “เลี้ยงดูด้วยการถูกทอดทิ้ง”
นี่คือหัวใจของเรื่องราวที่ Mary Shelley ต้องการสื่อสาร: ใครกันแน่คือสัตว์ประหลาดที่แท้จริง? และคำถามนี้ก็ถูกถ่ายทอดผ่านดวงตาที่ว่างเปล่าและความโกรธแค้นที่สั่งสมได้อย่างทรงพลัง
🎬 ส่วนที่ 4: ความยิ่งใหญ่ที่มาพร้อมกับข้อบกพร่อง
ในแง่ของงานสร้าง ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นงานที่ ยิ่งใหญ่ และ สวยงามตามแบบฉบับกอทิก (Gothic) คอสตูม เครื่องแต่งกาย และฉากต่าง ๆ ถ่ายทอดบรรยากาศยุคศตวรรษที่ 19 ได้อย่างน่าประทับใจ ดนตรีประกอบของ Patrick Doyle ก็เป็นตัวขับเคลื่อนอารมณ์ให้พุ่งสูงขึ้นตามความบ้าคลั่งของวิคเตอร์ แต่ความทะเยอทะยานที่มากเกินไปของ Branagh ก็เป็นดาบสองคม
นักวิจารณ์หลายคนชี้ว่า Branagh นั้น “โหมโรง” มากเกินไปในหลายฉาก (Overly Theatrical) ความพยายามที่จะเก็บทุกรายละเอียดจากหนังสือทำให้เนื้อเรื่องรู้สึก แน่น และ เร่งรีบ จนขาดช่วงเวลาแห่งความสงบที่จำเป็นในการสร้างอารมณ์ร่วม (Subtlety) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในความสัมพันธ์ระหว่างวิคเตอร์กับสิ่งมีชีวิต รวมถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ใส่เข้ามา เช่น ฉากที่ เอลิซาเบธ (Helena Bonham Carter) ถูกนำกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ก็ดู หวือหวาและรุนแรง เกินความจำเป็น และเบี่ยงเบนไปจากแก่นปรัชญาของต้นฉบับเล็กน้อย
🎯 ส่วนที่ 5: สรุปและคะแนน
“Frankenstein แฟรงเกนสไตน์” (1994) อาจจะไม่ใช่หนังที่สมบูรณ์แบบ แต่มันคือ ความพยายามอันยิ่งใหญ่ ที่กล้าจะท้าทายตำนานฮอลลีวูดและกลับไปสำรวจความลึกซึ้งทางปรัชญาของต้นฉบับได้อย่างน่าชื่นชม แม้จะมีข้อบกพร่องเรื่องจังหวะและน้ำเสียงที่ดูโอเปร่าเกินจริงไปบ้าง แต่การแสดงของ De Niro และ Branagh รวมถึงงานสร้างที่ยิ่งใหญ่ ก็ทำให้ฉบับนี้กลายเป็น หมุดหมายสำคัญ ของการตีความเรื่องราว “แฟรงเกนสไตน์” ที่ยังคง ทรงพลังและชวนให้ถกเถียง ได้ไม่รู้จบ
คะแนน: ⭐️⭐️⭐️⭐️ (4/5)
คำแนะนำ: คอหนังที่ชอบงานสร้างยิ่งใหญ่และต้องการฉบับที่ใกล้เคียงกับปรัชญาของหนังสือ ห้ามพลาด!




