Ghost of Yōtei

Ghost of Yōtei – สานต่อจิตวิญญาณซามูไรสุดเข้มข้น

🙌 รีวิวเกม Ghost of Yōtei จิตวิญญาณซามูไรที่โหยหาการแก้แค้นในดินแดนน้ำแข็งและเปลวไฟนี่ไม่ใช่แค่เกม แต่คือบทกวีที่ร้อยเรียงด้วยคมดาบและหิมะในดินแดนเอโซะ (Ezo)คือภาคต่อที่ไม่ได้แค่สานต่อ แต่เป็นการก้าวกระโดดครั้งสำคัญจากความสำเร็จของ Ghost of Tsushima หากจิน ซาไค (Jin Sakai) คือตัวแทนของเกียรติยศและหน้าที่ อัตสึ (Atsu) ตัวเอกคนใหม่ของเรา คือเปลวไฟแห่งการแก้แค้นที่กำลังเผาไหม้ทุกสิ่งที่ขวางหน้า

 

📜 บทนำที่ไม่เหมือน  โคลงกลอนแห่งความแค้น

หลายคนอาจกังวลว่าภาคต่อของเกมซามูไรโอเพนเวิลด์ระดับมาสเตอร์พีซจะมาซ้ำรอยเดิมหรือไม่ แต่ Sucker Punch Productions ได้พิสูจน์แล้วว่าพวกเขาสามารถหยิบยืม “จิตวิญญาณ” ของภาคแรกมาต่อยอดได้อย่างชาญฉลาด โดยที่ไม่รู้สึกว่าเป็นการ “Copy-Paste” เลยแม้แต่น้อย เราสวมบทบาทเป็น  นักรบรับจ้างที่สูญเสียครอบครัวไปเมื่อ 16 ปีก่อนด้วยฝีมือของกลุ่มโจรผู้ทรงอิทธิพลที่เรียกว่า “Yōtei Six” (หกบุรุษแห่งโยเทอิ) และการเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อปกป้องใคร แต่คือการล้างแค้นอันแสนจะส่วนตัว ฉากหลังของเกมเปลี่ยนจากสภาพอากาศอบอุ่นและทุ่งหญ้าของสึชิมะมาสู่ดินแดนทางเหนือที่เยือกเย็นของเอโซะ (ฮอกไกโดในปัจจุบัน) ซึ่งเต็มไปด้วยภูเขาไฟ หิมะ ทะเลสาบขนาดใหญ่ และป่าไม้หนาทึบ เป็นการปรับโทนและสีสันของเกมให้ดูเข้มข้นและหม่นหมองกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด

 

⚔️ ระบบการต่อสู้: ความรุนแรงที่ถูกขัดเกลาจนคมกริบ

หัวใจสำคัญของซีรีส์นี้คือระบบการต่อสู้ด้วยดาบที่ทรงพลัง และใน Ghost of Yōtei มันถูกยกระดับขึ้นไปอีกขั้น

  • ความลื่นไหลที่เฉียบขาด: การต่อสู้ยังคงเน้นการสลับเพลงดาบ (Stance) และการปัดป้อง (Parry) ที่แม่นยำ แต่มีความรู้สึก “หนักหน่วง” และ “ฉับไว” ในเวลาเดียวกัน อัตสึไม่ได้มีโล่เหมือนจิน แต่เธอชดเชยด้วยความว่องไวในการหลบหลีกและการใช้ Dual Katana (ดาบคู่) ในบางสไตล์การต่อสู้ ซึ่งทำให้การรับมือกับศัตรูหลายคนเป็นไปอย่างเร้าใจและรวดเร็วกว่าเดิม
  • การปรับตัวคือชีวิต: ศัตรูในภาคนี้ฉลาดขึ้นมาก พวกมันสามารถสลับอาวุธและท่าทางการต่อสู้ได้กลางคัน รวมถึงศัตรูประเภทใหม่ที่เน้นการสนับสนุนพรรคพวกด้วยการร้องเพลงปลุกใจ ซึ่งบีบให้เราต้องวางแผนการเก็บเป้าหมายก่อนหลังอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะในระดับความยากที่สูงขึ้น ทุกการปะทะจึงเป็นเหมือนการดวลเชิงกลยุทธ์ ไม่ใช่แค่การกดปุ่มรัวๆ
  • โหมดภาพยนตร์ใหม่: นอกจาก Kurosawa Mode ที่กลับมาให้เราได้สัมผัสบรรยากาศขาวดำแบบหนังซามูไรคลาสสิกแล้ว ยังมี Miike Mode (ได้แรงบันดาลใจจากผู้กำกับทาคาชิ มิอิเกะ) ที่จะเพิ่มความรุนแรงของเลือดและโคลน พร้อมมุมกล้องต่อสู้ที่ใกล้ชิดจนรู้สึกถึงไอร้อนและลมหายใจของคู่ต่อสู้! (แนะนำให้ลองถ้าต้องการความสะใจแบบสุดขั้ว)

 

Ghost of Yōtei

🗺️ โลกเปิดที่เชิญชวนให้ “หลงทาง” อย่างมีศิลปะ

โลกของเอโซะใน Ghost of Yōtei นั้นสวยงามจนน่าทึ่ง ทะเลสาบโทยะที่สะท้อนเงาของภูเขาโยเทอิ (Mount Yōtei) หรือป่าสนที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ คือภาพที่ชวนให้หยุดถ่ายรูปด้วย Photo Mode ได้ทุกเมื่อ

สิ่งที่เกมทำได้ดีกว่าภาคแรกคือ การสำรวจที่ไม่ยัดเยียด แผนที่ไม่ได้เต็มไปด้วยไอคอนที่รกตา “สายลมนำทาง” (Guiding Wind) ยังคงเป็นเครื่องมือหลักในการนำทาง แต่การค้นพบสิ่งต่างๆ มักจะมาจากเบาะแสในสภาพแวดล้อม:”การเดินตามนกสีทอง, การได้ยินเสียง Shamisen จากระยะไกล หรือการสังเกตกลุ่มควันจากหมู่บ้านที่ถูกเผา คือสิ่งที่พาเราไปสู่ภารกิจเสริมหรือความลับที่ซ่อนอยู่”การออกแบบภารกิจเสริมยังคงให้ความรู้สึกเหมือน “นิทานพื้นบ้าน” (Mythic Tales) ที่จะให้อาวุธหรือชุดเกราะในตำนานที่มาพร้อมเรื่องเล่าที่ชวนติดตาม การเดินทางของอัตสึจึงไม่ได้เป็นแค่การไล่ล่า แต่เป็นการเรียนรู้เรื่องราวของผู้คนในดินแดนนี้ไปด้วย

 

💔 เนื้อเรื่อง: จากความแค้นสู่การเยียวยา

ในขณะที่แกนหลักของเรื่องคือการล้างแค้น (ซึ่งประกอบด้วยภารกิจสังหารหลัก 3 ส่วนที่สามารถทำได้ตามลำดับที่เราเลือก) เนื้อเรื่องกลับมีมิติที่ลึกซึ้งกว่านั้น จากความแค้นที่แสนดิบเถื่อนในช่วงต้นเกม เรื่องราวจะค่อยๆ คลี่คลายสู่ธีมที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับ ความเจ็บปวด, การให้อภัย, และความหมายของ “ครอบครัวที่ถูกเลือก” (Found Family)

อัตสึคือตัวละครที่มีความชัดเจนและขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ที่รุนแรง การได้เห็นการเดินทางทางจิตใจของเธอที่ต้องเผชิญหน้ากับทางเลือกที่ยากลำบาก คือจุดที่ทำให้เกมนี้มีเสน่ห์กว่าภาคแรก ซึ่งจินอาจจะดู “สมบูรณ์แบบ” กว่า

 

สรุป: ต้องเล่นหรือไม่?

คือบทพิสูจน์ว่า Sucker Punch Productions ไม่ได้แค่สร้างเกมแอ็กชัน-โอเพนเวิลด์เท่านั้น แต่พวกเขาสร้าง “ประสบการณ์ซามูไรที่จับต้องได้” การต่อสู้ที่ดุดัน, กราฟิกที่สวยงามจับใจ, และเนื้อเรื่องที่เต็มไปด้วยอารมณ์ ทำให้เกมนี้เป็นมากกว่าภาคต่อ แต่เป็นจุดสูงสุดใหม่ของเกมประเภทนี้

มันมีข้อบกพร่องเล็กน้อยในส่วนของภารกิจเสริมบางอย่างที่อาจซ้ำซากไปบ้างตามสไตล์เกมโลกเปิด แต่ภาพรวมทั้งหมดคือความยอดเยี่ยมที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง ถ้าคุณหลงรัก Ghost of Tsushima นี่คือสิ่งที่คุณต้องเล่น และหากคุณเป็นแฟนหนังซามูไรคลาสสิก, นี่คือวิดีโอเกมที่ทำหน้าที่เป็นจดหมายรักฉบับสมบูรณ์แบบที่สุด

คะแนนสุดท้าย: 9.2/10 – “บทเพลงแห่งความแค้นที่งดงามและแสนจะเชือดเฉือนหัวใจ”

 

Scroll to Top