หากคุณกำลังมองหาซีรีส์ที่พาคุณดำดิ่งสู่ห้วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่สำคัญในสหรัฐอเมริกา พร้อมด้วยบทสนทนาที่คมคาย การแสดงที่เหนือชั้น และภาพลักษณ์ย้อนยุคที่เต็มไปด้วยสไตล์ Mad Men คือคำตอบที่คุณไม่ควรพลาด ซีรีส์เรื่องนี้พาเราย้อนกลับไปสู่มหานครนิวยอร์กใน ช่วงทศวรรษ 1960 ซึ่งเป็นยุคทองของวงการโฆษณา และการถือกำเนิดของชายกลุ่มหนึ่งที่ทรงอิทธิพลและน่าค้นหา
หัวใจสำคัญของเรื่องอยู่ที่ ดอน เดรเปอร์ (รับบทโดย จอน แฮมม์) ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ (Creative Director) ที่หล่อเหลา มีเสน่ห์ และเต็มไปด้วยความลับ เขาคืออัจฉริยะในการสร้างสรรค์แคมเปญโฆษณาที่โดนใจผู้คน แต่ชีวิตส่วนตัวกลับซับซ้อนและเปราะบางอย่างยิ่ง ดอนเปรียบเสมือนภาพสะท้อนของ “ความฝันแบบอเมริกัน” ที่ถูกเคลือบไว้ด้วยความมืดมิด เขาเป็นชายที่ต้องแบกรับภาระจากปมในอดีตและตัวตนที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ การต่อสู้ของดอนไม่ได้มีแค่การช่วงชิงลูกค้าในห้องประชุม แต่เป็นการต่อสู้ภายในจิตใจเพื่อค้นหาว่า “ตัวตนที่แท้จริง” ของเขาคือใคร ท่ามกลางวิถีชีวิตที่ล้อมรอบด้วยวิสกี้ บุหรี่ และการนอกใจ ซึ่งเป็นเรื่องปกติในที่ทำงานยุคนั้น
แต่ไม่ได้มีแค่เรื่องราวของดอน เดรเปอร์เท่านั้น ซีรีส์เรื่องนี้ยังฉายภาพชีวิตของตัวละครอื่น ๆ ที่โลดแล่นอยู่ในโลกของการโฆษณาได้อย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเติบโตของ เพ็กกี้ โอลสัน จากเลขานุการสาวใสซื่อที่ก้าวขึ้นมาเป็นนักเขียนคำโฆษณา (Copywriter) หญิงแถวหน้าในวงการ ซึ่งเป็นตัวแทนของการเปลี่ยนแปลงสถานะของผู้หญิงในยุคนั้นได้อย่างน่าทึ่ง รวมถึง โจน แฮร์ริส เลขานุการสาวสวยและเย้ายวน ผู้ใช้เสน่ห์และสติปัญญาในการไต่เต้าในสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่ ตัวละครแต่ละตัวเผชิญกับดราม่าชีวิตส่วนตัว ปัญหาครอบครัว และการปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิพลเมือง, การปฏิวัติทางเพศ, หรือการเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมป๊อป
เสน่ห์ของเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่พล็อตที่หวือหวาตื่นเต้น แต่เป็นการค่อย ๆ เผยให้เห็นรอยร้าวภายใต้ภาพลักษณ์อันหรูหราของชนชั้นกลางในอเมริกา ผ่านบทที่แข็งแกร่ง การออกแบบฉากและเสื้อผ้าแบบวินเทจที่สวยงามราวกับงานศิลปะ และการนำเสนอประเด็นทางสังคมอย่างละเอียดอ่อน ซีรีส์เรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่การดูเรื่องราวในอดีต แต่เป็นการวิเคราะห์จิตใจมนุษย์ที่พยายามสร้างสรรค์ “ความฝัน” ให้กับสินค้า ในขณะที่ชีวิตจริงของพวกเขาเต็มไปด้วย “ความว่างเปล่า” และ “ความปรารถนา” ที่ซ่อนเร้น มันคือมหากาพย์ดราม่าที่ละเมียดละไม ที่จะทำให้คุณรู้สึกอึดอัด คับข้องใจ แต่ก็หยุดดูไม่ได้ เพราะมันสะท้อนความเป็นมนุษย์ออกมาได้อย่างสมจริงและคลาสสิกอย่างแท้จริง
