คงไม่มีปัญหาอะไรสำหรับคนที่เป็นแฟนพิกซาร์อยู่แล้วในการที่จะปะติดปะต่อเรื่องราวกับภาคก่อนหน้า แต่ถึงอย่างนั้นต่อให้ไม่เคยดู Monster Inc. มาก่อนซึ่งทางเรื่องของ Monsters University ก็ยังเป็นหนังที่ดูได้รู้เรื่องเข้าใจ ด้านหนึ่งมันเหมือนจะแยกขาดจากภาคแรก แต่สำหรับคนที่เคยดูภาคแรก อาจจะได้อรรถรสเพิ่มขึ้นอีกหน่อย เมื่อพบว่าเรื่องราวในภาคนี้มันเหมือนเป็นภาค “ปฐมบท” ของ Monster Inc. ก่อนที่สองสหายนักหลอนตัวยง ทั้งไมค์ วาโซว์สกี้ และ เจมส์ พี.ซัลลี่แวน จะได้ไปเป็นนักเขย่าขวัญขั้นเทพในสังกัดของบริษัทรับจ้างหลอน
ความสนุกของมหาลัยมอนส์เตอร์
นอกจากความสนุกที่ยังไม่เสื่อมสลายไปกับกาลเวลา ดูเหมือนว่าประกายความคิดหนึ่งจะผุดขึ้นมา และนี่ก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของพิกซาร์ที่ยากจะหาค่ายใดมาทัดเทียม มันเติมเต็มจินตนาการและเปิดโอกาสให้เราได้ขบคิดอย่างกว้างขวาง ไม่แน่ใจว่าจะมีใครรู้สึกเหมือนกับผมหรือเปล่าว่า ฉากท้ายๆ ในหนังที่ซัลลี่แวนบอกกับหนูบูทำนองว่าให้เลิกกลัว มันทำให้คิดต่อไปได้อีกว่า บรรดามอนสเตอร์ทั้งหลายนั้น ไม่น่าจะต่างอะไรกันกับพวกตุ๊กตาตุ๊กตุ่นหลากรูปลักษณ์สีสัน ใช่หรือไม่ว่า ในวัยหนึ่ง เราก็เคยกลัวอะไรพวกนี้ โดยเฉพาะตุ๊กตาที่หน้าตาอั๊กลี่ทั้งหลาย ในวัยเด็ก เราอาจจะแต่งแต้มเรื่องราวให้กับพวกมัน คิดว่ามันมีชีวิต คิดว่ามันเป็นภูตผีปีศาจหรือมอนสเตอร์ เราเล่นกับมัน กลัวมัน ก่อนที่วันเวลาจะค่อยๆ นำพาเราออกมาจากโลกใบนั้น เราโตขึ้น และหมดสิ้นความกลัวอีกต่อไป
ความกลัวที่แท้จริงมาจากจิตที่ปรุงแต่งเรื่องราวและเป็นเรื่องทางใจนี่คงไม่ใช่คำที่ใหญ่โตเกินไปยิ่งถ้าหากผู้ชมเองได้ดูอะนิเมชั่นเรื่อง Monsters University แล้ว ก็จะยิ่งกระจ่างชัดขึ้นว่า ที่จริงแล้ว หน้าตาที่น่ากลัว หรือเสียงคำรามที่กึกก้องสั่นประสาท อาจเป็นเพียงการเขย่าขวัญที่ไร้ชั้นเชิง เมื่อเทียบกับการเขย่าขวัญอีกแบบหนึ่งซึ่งหนังนำเสนอ และผมจะพูดในลำดับถัดไป เรื่องราวในมหาวิทยาลัยมอนส์เตอร์เล่าย้อนไปสมัยที่ไมค์ วาโซว์สกี้ กับเจมส์ พี.ซัลลี่แวน ยังเป็นเด็กไร้พิษสง พวกเขามาพบกันใน “มหา’ลัยมอนสเตอร์” เพราะมีเป้าหมายในการที่อยากจะก้าวไปเป็นนักเขย่าขวัญมือโปร แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะลงเอยด้วยดี พวกเขาก็ต้องผ่านบทเรียนและบททดสอบ ไม่เพียงแค่ในฐานะนักเขย่าขวัญ หากแต่ความเป็นเพื่อนก็ต้องผ่านวันเวลายากลำบากด้วยในขณะที่รู้สึกว่าคนดูผู้ชมสามารถจะเก็บกวาดอรรถรสความสนุกกลับบ้านได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยจากเรื่องราวที่มีทั้งอารมณ์ขันและความซาบซึ้ง ในอีกซีกหนึ่ง พิกซาร์ก็ยังคงเป็นพิกซาร์ ที่ไม่หลงลืมใส่เนื้อหาเข้ามาให้มีสาระ แม้ประเด็นเกี่ยวกับการฟันฝ่าคำดูถูกดูแคลนของโลกเพื่อพิสูจน์ตัวเอง ทำนองว่า “อย่าให้ใครมาตัดสินคุณ ชีวิตเป็นของเรา” อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ โดยเฉพาะสำหรับผู้ใหญ่ที่ผ่านโลกมามากแล้ว แต่เชื่อแน่ว่า สำหรับเด็กๆ นี่คือหัวข้อที่มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการเจริญเติบโตของพวกเขา แต่ถึงกระนั้น เราก็ไม่ควรปฏิเสธนะครับว่า ผู้ใหญ่หลายคนก็ยังต้องผจญกับอะไรทำนองนี้อยู่ ทั้งในชีวิตหรือที่ทำงานในภาคที่แล้วเราได้เห็นบรรดามอนสเตอร์ผ่านประตูทะลุมิติออกไปในห้องนอนของเด็กๆ เพื่อเก็บเสียงร้องของเด็กๆ มาเป็นพลังงานในโลกของตัวเอง พูดง่ายๆ ตามคอนเซ็ปต์ก็คือ “เปลี่ยนเสียงร้องให้เป็นพลัง” แต่เมื่อมาถึง Monsters University คงไม่ผิดนักหากเราจะบอกว่า มันคือภาคของการ “เปลี่ยนคำหยามหมิ่นให้เป็นพลัง” ดังตัวอย่างที่เห็นชัดก็คือไมค์ วาโซว์สกี้ และผองเพื่อน ที่ต้องลุกขึ้นมาปลุกปั้นตัวเองเพื่อลบล้างคำสบประมาทหลากรูปแบบ