ถ้าใครสงสัยว่าการทำงานในโรงเรียนสำหรับ “เด็กชายกลุ่มปัญหา” จะเป็นอย่างไร คำตอบอาจอยู่ใน Steve (2025) ผลงานใหม่ของผู้กำกับ Tim Mielants ที่ดัดแปลงจากนวนิยายสั้น Shy ของ Max Porter — แต่แทนที่หนังจะพาเราเข้าใจโลกของเด็กๆ เหล่านี้ กลับกลายเป็นการสำรวจความเหนื่อยล้าของครูใหญ่คนหนึ่ง ที่แสดงโดย คิลเลียน เมอร์ฟีย์ อย่างเข้มข้นจนแทบกลืนทุกสิ่งบนจอ
หนังเล่าเรื่องผ่านสายตาของ สตีฟ ครูใหญ่แห่ง Stanton Wood Manor โรงเรียนสำหรับเด็กที่มีพฤติกรรมรุนแรงและควบคุมยาก เขาเป็นชายที่เต็มไปด้วยความวิตก ความกดดัน และภาระใจที่ไม่เคยได้คลาย เมอร์ฟีย์แสดงบทนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบจนกลายเป็นหัวใจเดียวของหนัง — ทว่าความยอดเยี่ยมของการแสดงนั้นเอง กลับกลบทุกอย่างที่ควรจะเป็นเนื้อเรื่อง
จากวรรณกรรมสู่จอใหญ่: เมื่อ “ความลึก” หายไปในภาพสั่นไหว
ในฉบับนิยาย Shy ของ Porter เคยได้รับการชื่นชมว่าเป็นงานที่ตั้งคำถามถึงวัยเยาว์ ความสิ้นหวัง และความเห็นอกเห็นใจของมนุษย์ แต่เมื่อถูกถ่ายทอดสู่ภาพยนตร์ สตีฟ กลับเลือกทางตรงข้าม มันกลายเป็นหนังอาร์ตที่หมกมุ่นอยู่กับ “รูปแบบ” มากกว่า “เนื้อหา” กล้องที่สั่นตลอดเวลา ฉากคลุมเครือ และการเล่าเรื่องที่ไม่ต้องการคำตอบ ทำให้หนังดูเหมือนพยายามปกปิดความตื้นเขินของตัวเองด้วยความซับซ้อนปลอมๆ
Mielants พยายามใช้ภาษาภาพยนตร์สร้างความรู้สึกสับสนและอึดอัด — จนบางช่วงให้ความรู้สึกเหมือนสารคดีที่หลุดโฟกัสจากเป้าหมายหลัก หนังเต็มไปด้วยพลังและการเคลื่อนไหว แต่กลับไม่มี “แก่น” ให้ยึด เหมือนกำลังดูคนออกกำลังกายในห้องเรียนศิลปะมากกว่าดูหนังดราม่าที่มีหัวใจ
สตีฟ: ครูที่มีบาดแผล หรือแค่ตัวแทนความเครียดของระบบ
คำถามสำคัญคือ “สตีฟเป็นใครกันแน่?” หนังไม่ยอมตอบ เขาอาจเป็นครูใหญ่ที่อดทนกับความเครียดมหาศาล หรืออาจเป็นคนที่ใช้การดูแลเด็กเหล่านี้เพื่อชดเชยบางอย่างในอดีต แต่แทนที่จะค่อยๆ เปิดเผย หนังกลับปล่อยให้ทุกอย่างลอยหายไปในอากาศ ฉากอุบัติเหตุที่อาจเป็นเบาะแสของอดีตตัวละคร ถูกเล่าด้วยความกำกวมราวกับผู้กำกับเข้าใจผิดว่าความไม่ชัดเจนคือความลึกซึ้ง
เด็กๆ ที่ควรจะเป็นหัวใจของเรื่อง กลับถูกลดบทบาทให้เป็นเพียงฉากหลังของการแสดงของเมอร์ฟีย์ พวกเขามีพรสวรรค์ มีความเจ็บปวด แต่หนังก็ไม่เคยให้พื้นที่พอให้เรารู้จักจริงๆ เหมือนทุกคนในโรงเรียนนี้มีชีวิตอยู่ได้เพียงขณะที่กล้องยังจับอยู่เท่านั้น
ความงามของภาพที่กลบสาร
ตลอดเรื่อง เราเห็นการถ่ายทำที่มีทีมงานสารคดีเข้ามาเยือนโรงเรียน ซึ่งตั้งใจสะท้อน “ความตระหนักรู้ของการถูกมอง” — ทั้งเด็กและครูต่างรู้ว่าตัวเองถูกจับตา แต่แทนที่จะใช้เป็นประเด็นสะท้อนโครงสร้างอำนาจหรือการแสดงตัวตน หนังกลับใช้เป็นเพียงอุปกรณ์ทางภาพให้ดูเท่
และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นตลอด เน้น “ความเท่” มากกว่าความจริงใจ เราถูกทำให้เชื่อว่าอารมณ์กระวนกระวายและการถ่ายแบบสั่นคือการเข้าถึงภายในของตัวละคร แต่สุดท้ายแล้ว มันเป็นเพียงสุนทรียะที่กลบความว่างเปล่า
หนังเพื่อสุขภาพจิต…หรือหนังเพื่อเมอร์ฟีย์?
ในตอนท้าย สตีฟ ปิดฉากด้วยข้อความรณรงค์ให้ติดต่อผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต ซึ่งทำให้มันกลายเป็นเหมือน PSA (public service announcement) มากกว่าหนังดราม่าที่ตั้งคำถามจริงจัง เมอร์ฟีย์ในฐานะผู้อำนวยการสร้างอาจมีเจตนาดี อยากสร้างงานเพื่อกระตุ้นสังคมให้พูดถึงสุขภาพจิต แต่ผลลัพธ์กลับดูเหมือนการใช้ภาพยนตร์เป็นเวทีโชว์พลังการแสดงของเขาเองมากกว่า
บทสรุป
สตีฟ คือ ภาพยนตร์ ที่มีความตั้งใจดี มีการแสดงยอดเยี่ยม และมีภาพที่งดงามทางเทคนิค แต่ทั้งหมดนั้นกลับถูกใช้เพื่อปกปิดความว่างเปล่าของเรื่องราว มันไม่ได้สำรวจ “ชีวิต” ของเด็กชายกลุ่มปัญหาอย่างที่ตั้งใจไว้ แต่อยู่เพียงเพื่อแสดงให้เห็นว่าคิลเลียน เมอร์ฟีย์ แสดงเก่งแค่ไหน
สุดท้ายแล้ว Steve จึงเป็นหนังที่น่าชื่นชมในฐานะ “การแสดง” แต่ล้มเหลวในฐานะ “เรื่องเล่า” — หนังที่อยากพูดเรื่องความเห็นอกเห็นใจ แต่กลับไม่เคยเข้าใจตัวละครของมันเลย
📺 ตัวอย่าง >> สตีฟ | Official Trailer | Netflix
✨ บทความที่เกี่ยวข้อง