ภาพยนตร์แอนิเมชัน

Grave of the Fireflies
การ์ตูน

รีวิวการ์ตูน Grave of the Fireflies สุสานหิ่งห้อย

การ์ตูนเรื่อง Grave of the Fireflies (สุสานหิ่งห้อย) ไม่ใช่เพียงแค่ ภาพยนตร์แอนิเมชัน แต่คือประสบการณ์ทางอารมณ์อันเจ็บปวดและงดงามที่ฝังลึกในใจผู้ชมได้อย่างไม่ลืมเลือน ผลงานชิ้นเอกของสตูดิโอจิบลิและผู้กำกับอิซาโอะ ทาคาฮาตะเรื่องนี้ เล่าเรื่องราวที่ได้รับแรงบันดาลใจจากประสบการณ์จริงของผู้เขียน เซย์อิจิโร่ ฟุรุคาวะ ผู้รอดชีวิตจากสงครามโลกครั้งที่สองในญี่ปุ่น แม้จะถูกจัดเป็นภาพยนตร์แอนิเมชัน แต่เนื้อหาและความรุนแรงทางอารมณ์กลับไม่เหมาะสำหรับเด็กเล็ก เพราะมันสะท้อนความโหดร้ายของสงครามและโศกนาฏกรรมของมนุษย์ได้อย่างถึงแก่น ความเจ็บปวดของการเอาชีวิตรอดในยุคสงครามเรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในช่วงสุดท้ายของสงครามโลกครั้งที่สองในญี่ปุ่น เมื่อบ้านเมืองถูกทำลายจากการทิ้งระเบิด เพลิงสงครามโหมกระหน่ำ ทำให้เด็กหนุ่มวัย 14 ปี เซตะ และน้องสาวตัวน้อยวัย 4 ขวบ เซ็ตสึโกะ ต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าในชั่วข้ามคืน พวกเขาต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดในสภาพสังคมที่ล่มสลายและขาดแคลนทุกสิ่ง ภาพยนตร์ถ่ายทอดการเดินทางอันแสนรันทดของสองพี่น้องที่ต้องเผชิญหน้ากับความหิวโหย ความเจ็บป่วย และความเมินเฉยของผู้คนรอบข้างที่ต่างก็ต้องเอาตัวรอดเช่นกัน ความสัมพันธ์ของเซตะและเซ็ตสึโกะเป็นหัวใจหลักของเรื่อง เซตะพยายามอย่างสุดกำลังที่จะปกป้องน้องสาวให้รอดพ้นจากความทุกข์ยาก แม้จะต้องขโมยอาหารหรือเผชิญหน้ากับความอัปยศอดสูต่าง ๆ เขาสร้างโลกเล็ก ๆ ของตัวเองขึ้นมาเพื่อปลอบประโลมน้องสาว และหิ่งห้อยที่ส่องแสงระยิบระยับในยามค่ำคืนก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของความหวังที่ริบหรี่และชีวิตที่เปราะบางของพวกเขา ภาพสะท้อนอันเจ็บปวดของความบริสุทธิ์ที่ถูกทำลาย สิ่งที่ทำให้ Grave of the Fireflies ทรงพลังอย่างยิ่งคือการนำเสนอความไร้เดียงสาของเซ็ตสึโกะที่ต้องเผชิญหน้ากับความจริงอันโหดร้ายของสงครามอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง ภาพของเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่ยังคงยิ้ม หัวเราะ และเล่นสนุกกับสิ่งรอบตัว แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง ทำให้ความเจ็บปวดของผู้ชมทวีคูณ การที่เซตะพยายามจะรักษารอยยิ้มและปกป้องความบริสุทธิ์ของน้องสาวไว้ให้ได้นานที่สุด กลายเป็นสิ่งที่บีบคั้นหัวใจอย่างที่สุด ทาคาฮาตะไม่ได้เพียงแค่แสดงให้เห็นความเสียหายทางกายภาพของสงคราม แต่ยังเจาะลึกไปถึงความเสียหายทางจิตใจและศีลธรรมที่เกิดขึ้นกับผู้คน การที่สังคมกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวและเมินเฉยต่อความทุกข์ยากของผู้อื่น สะท้อนให้เห็นว่าสงครามสามารถทำลายความเป็นมนุษย์ได้อย่างไร้ซึ่งความปรานี Grave of the Fireflies เป็นภาพยนตร์ที่งดงามในแง่ของงานศิลปะ แอนิเมชันมีรายละเอียดที่สมจริงและเต็มไปด้วยความรู้สึก ตั้งแต่ฉากการทิ้งระเบิดอันน่าสะพรึงกลัว ไปจนถึงภาพทุ่งหญ้าและลำธารที่เต็มไปด้วยหิ่งห้อยในยามค่ำคืน เพลงประกอบยิ่งเสริมความหดหู่และโศกเศร้าให้กับเรื่องราวได้อย่างสมบูรณ์แบบ มันเป็นภาพยนตร์ที่ท้าทายผู้ชมให้เผชิญหน้ากับความจริงอันขมขื่นของสงคราม และตระหนักถึงคุณค่าของสันติภาพและการดำรงอยู่ของชีวิต มันไม่ใช่ภาพยนตร์ที่คุณจะดูเพื่อความบันเทิงเบาสมอง แต่เป็นภาพยนตร์ที่คุณจะดูเพื่อเรียนรู้ จดจำ และรู้สึกถึงพลังของการเล่าเรื่องที่สามารถเปลี่ยนแปลงมุมมองของคุณต่อโลกได้ นี่คือผลงานคลาสสิกที่จะยังคงตราตรึงอยู่ในใจของผู้คนไปอีกนานแสนนาน

Back to the Outback
การ์ตูน

รีวิวการ์ตูน Back to the Outback

ในใจกลางผืนดินสีแดงอันกว้างใหญ่ของออสเตรเลีย ที่ซึ่งสัตว์ป่าแปลกตาต่างดำรงชีวิตอยู่ “Back to the Outback” ภาพยนตร์แอนิเมชัน จาก Netflix นำเสนอเรื่องราวสุดน่ารักและชวนอบอุ่นหัวใจเกี่ยวกับกลุ่มสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์มีพิษที่ถูกมองว่าเป็นภัยคุกคาม แต่กลับมีความใฝ่ฝันอันยิ่งใหญ่ นั่นคือการกลับสู่บ้านเกิดอันแท้จริงในป่าเอาต์แบ็ก เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในสวนสัตว์ที่กรุงซิดนีย์ โดยมี Maddie งูไทปันที่มีพิษร้ายแรงแต่กลับอ่อนโยนเป็นตัวละครหลัก เธอเบื่อหน่ายกับการที่มนุษย์มองว่าเธอเป็นสัตว์ประหลาดและหวาดกลัวเธออยู่เสมอ เช่นเดียวกับเพื่อนพ้องของเธอ อย่าง Zoe แมงมุมใยกรวยจอมขี้โม้, Nigel แมงป่องขี้กังวล และ Frank ตะขาบอารมณ์ดี พวกเขาเหล่านี้ถูกจองจำในกรงที่แสดงให้เห็นถึง “สัตว์ที่น่ากลัวที่สุดในโลก” แต่สิ่งที่พวกเขาปรารถนาคืออิสรภาพและการยอมรับ แรงผลักดันหลักของเรื่องเกิดขึ้นเมื่อ Pretty Boy โคอาล่าสุดน่ารักและขี้อวด ที่เป็นดาวเด่นของสวนสัตว์โดยไม่ตั้งใจกลับติดร่างแหไปกับการหลบหนีของพวกเขาด้วย ซึ่งเพิ่มความตลกขบขันและสถานการณ์วุ่นวายให้กับเรื่องราว การเดินทางอันยาวไกลจากสวนสัตว์ในเมืองสู่ป่าเอาต์แบ็กที่แห้งแล้งกลายเป็นบททดสอบมิตรภาพและความกล้าหาญของเหล่าสัตว์ต่างสายพันธุ์ พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคมากมาย ทั้งจากมนุษย์ที่พยายามตามจับ และจากธรรมชาติอันโหดร้ายของออสเตรเลียเอง แต่ในทุกย่างก้าว พวกเขาได้เรียนรู้ที่จะพึ่งพาซึ่งกันและกัน และค้นพบความหมายที่แท้จริงของคำว่าครอบครัว ภาพยนตร์เรื่องนี้โดดเด่นด้วยภาพแอนิเมชันที่สวยงามและมีสีสันสดใส การออกแบบตัวละครทำได้อย่างน่ารักและมีเสน่ห์ แม้กระทั่งสัตว์ที่ดูน่ากลัวในชีวิตจริงก็ถูกทำให้ดูน่าเอ็นดูและเข้าถึงง่าย ดนตรีประกอบก็มีส่วนช่วยเสริมสร้างอารมณ์และบรรยากาศของการผจญภัยได้อย่างยอดเยี่ยม สิ่งที่ทำให้ “Back to the Outback” แตกต่างและน่าประทับใจคือข้อคิดที่แฝงอยู่เบื้องหลังความสนุกสนาน ภาพยนตร์ท้าทายการตัดสินคนจากภายนอกและรูปลักษณ์ภายนอก โดยเน้นย้ำว่าความงดงามและคุณค่าที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่สิ่งที่ตาเห็นเสมอไป Maddie และเพื่อน ๆ ของเธอถูกตัดสินจากรูปลักษณ์ที่น่ากลัว แต่ภายในใจพวกเขากลับมีความเมตตา ความซื่อสัตย์ และความใฝ่ฝันที่ไม่ต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังเป็นการเฉลิมฉลองความหลากหลายและการยอมรับความแตกต่าง ซึ่งเป็นข้อความที่สำคัญและเข้ากับยุคสมัยอย่างยิ่ง นอกจากนี้ยังสอดแทรกอารมณ์ขันที่เข้าถึงได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ทำให้ผู้ชมยิ้มและหัวเราะไปกับความป่วนของเหล่าสัตว์ รวมถึงฉากซึ้ง ๆ ที่ชวนให้หลั่งน้ำตาในบางช่วง Back to the Outback จึงไม่ใช่แค่การผจญภัยเพื่อกลับบ้าน แต่เป็นการเดินทางเพื่อค้นพบตัวเองและคุณค่าที่ซ่อนอยู่ในทุกชีวิต นับเป็นการ์ตูนที่ควรค่าแก่การรับชมและเหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัวที่กำลังมองหาภาพยนตร์แอนิเมชันที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ข้อคิดดี ๆ และความอบอุ่นหัวใจ

Puss in Boots The Last Wish
Uncategorized

รีวิวการ์ตูน Puss in Boots: The Last Wish

Puss in Boots: The Last Wish เป็น ภาพยนตร์แอนิเมชัน ที่เหนือความคาดหมายอย่างมาก มันไม่ใช่แค่ภาคต่อที่ยอดเยี่ยมของภาพยนตร์ Puss in Boots ปี 2011 เท่านั้น แต่ยังเป็นบทสรุปที่น่าประทับใจสำหรับตัวละคร Puss in Boots อีกด้วย เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อ Puss ตระหนักว่าเขาใช้ชีวิตอย่างประมาทจนเหลือชีวิตเพียงแค่ชีวิตเดียวจากทั้งหมดเก้าชีวิต ความจริงอันน่าตกใจนี้ทำให้เขาต้องเผชิญหน้ากับความกลัวตายเป็นครั้งแรก และตัดสินใจที่จะเกษียณตัวเองจากชีวิตนักผจญภัย เพื่อหลีกหนีจากโชคชะตาที่รออยู่ ภาพยนตร์เรื่องนี้พาผู้ชมไปสู่การผจญภัยที่น่าตื่นเต้น เมื่อ Puss ได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับ ดาวแห่งความปรารถนา ซึ่งสามารถบันดาลพรใด ๆ ให้เป็นจริงได้ เขาจึงออกเดินทางเพื่อขอพรให้ได้ชีวิตทั้งเก้ากลับคืนมา แต่แน่นอนว่าเส้นทางนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ Puss ต้องเผชิญหน้ากับคู่ปรับเก่าอย่าง Kitty Softpaws ที่มีความแค้นฝังใจ และยังต้องเจอหน้ากับตัวละครใหม่ที่น่าสนใจอย่าง Perrito สุนัขตัวเล็กที่แสนจะมองโลกในแง่ดี ซึ่งเข้ามาเป็นเพื่อนร่วมทางที่แปลกประหลาดแต่แสนอบอุ่น นอกจากนี้ยังมี Goldilocks และแก๊ง Three Bears Crime Family ที่มาพร้อมกับความฮาและความร้ายกาจ รวมถึง Big Jack Horner ผู้ชั่วร้ายที่ต้องการพลังของดาวแห่งความปรารถนาเช่นกัน แต่ที่โดดเด่นที่สุดและเป็นตัวละครที่สร้างความรู้สึกหวั่นเกรงให้กับ Puss คือ The Wolf ซึ่งเป็นตัวแทนของความตายที่ตามล่า Puss อย่างไม่ลดละ การปรากฏตัวของ The Wolf สร้างความตึงเครียดและบรรยากาศที่มืดมิดให้กับเรื่องราว ทำให้ Puss ต้องเผชิญหน้ากับความกลัวที่แท้จริง สิ่งที่ทำให้ Puss in Boots The Last Wish โดดเด่นคือการผสมผสานระหว่างอารมณ์ขันที่เฉียบคม การผจญภัยที่สนุกสนาน และประเด็นที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับการยอมรับความตายและคุณค่าของชีวิต ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่เพียงแต่มอบความบันเทิงให้กับเด็ก ๆ ด้วยฉากแอ็คชั่นที่รวดเร็วและตัวละครที่น่ารัก แต่ยังนำเสนอแนวคิดที่ซับซ้อนสำหรับผู้ชมที่เป็นผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการใคร่ครวญถึงชีวิตที่เหลืออยู่ การเผชิญหน้ากับความกลัว หรือการเรียนรู้ที่จะชื่นชมช่วงเวลาปัจจุบัน ภาพยนตร์นำเสนอภาพลักษณ์ของ Puss ที่ต่างออกไปจากเดิม เขากล้าหาญน้อยลง หวาดกลัวมากขึ้น และเต็มไปด้วยความเปราะบาง ทำให้ผู้ชมเข้าถึงและเอาใจช่วยตัวละครได้อย่างลึกซึ้ง งานภาพของ Puss in Boots: The Last Wish ก็เป็นอีกหนึ่งจุดแข็งที่น่าประทับใจ แอนิเมชันมีสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ ผสมผสานเทคนิคการเรนเดอร์แบบ CGI เข้ากับภาพวาดสไตล์นิทาน ทำให้ภาพดูมีชีวิตชีวาและมีมิติที่น่าดึงดูดใจ โดยเฉพาะฉากแอ็คชั่นที่รวดเร็วและเต็มไปด้วยพลัง ถูกนำเสนอได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยเทคนิคภาพที่ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังดูภาพเคลื่อนไหวจากหนังสือการ์ตูน ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นบทพิสูจน์ว่าภาพยนตร์แอนิเมชันสามารถนำเสนอเรื่องราวที่ซับซ้อนและมีมิติทางอารมณ์ได้อย่างไร้ที่ติ และยังคงความสนุกสนานและตื่นเต้นได้พร้อม ๆ กัน Puss in Boots: The Last Wish

Wish Dragon
การ์ตูน

รีวิว WISH DRAGON พรวิเศษที่มาพร้อมบทเรียนชีวิต

Wish Dragon ภาพยนตร์แอนิเมชัน จาก Sony Pictures Animation และ Netflix พาเราดำดิ่งสู่เรื่องราวของ ดีน เด็กหนุ่มผู้มุ่งมั่นในเซี่ยงไฮ้ ที่โชคชะตานำพาให้เขาได้พบกับ หลง มังกรวิเศษผู้มอบพรสามข้อ เรื่องราวนี้ไม่ได้มีเพียงความตลกขบขันและฉากแอ็กชันสุดตระการตาเท่านั้น แต่ยังสอดแทรกข้อคิดดีๆ เกี่ยวกับมิตรภาพ ครอบครัว และความหมายของความสุขที่แท้จริงเอาไว้ได้อย่างลงตัว เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อดีน เด็กหนุ่มจากครอบครัวธรรมดาๆ ในเซี่ยงไฮ้ เฝ้าฝันถึงการได้กลับมาพบกับ หลี่ น่า เพื่อนสนิทสมัยเด็กที่ตอนนี้ย้ายไปใช้ชีวิตหรูหรา เขาได้พบกับหลง มังกรสีชมพูผู้ถูกจองจำอยู่ในกาน้ำชามานับพันปี และต้องทำภารกิจมอบพรให้มนุษย์ 10 คนเพื่อปลดปล่อยตัวเอง ดีนจึงหวังใช้พรวิเศษเพื่อตามหาหลี่น่าและเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเอง แต่สิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากหลงนั้นมีค่ามากกว่าพรวิเศษใดๆ ดีนแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความฝันที่บริสุทธิ์ ในขณะที่หลง มังกรผู้เกรี้ยวกราดแต่แฝงไว้ด้วยความอารมณ์ดี ก็ได้เรียนรู้ถึงความหมายของมนุษย์และความสุขที่แท้จริงจากการเดินทางไปกับดีน นอกจากนี้ ตัวละครอื่นๆ อย่างหลี่น่าและแม่ของดีน ก็เข้ามาเติมเต็มเรื่องราวให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ภาพยนตร์เรื่องนี้โดดเด่นด้วย แอนิเมชันที่สวยงามและฉากแอ็กชันสุดมันส์ มีสีสันสดใส โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉากแอ็กชันที่ออกแบบมาได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ทำให้ผู้ชมรู้สึกสนุกสนานและตื่นเต้นไปกับการผจญภัยของดีนและหลง ขณะเดียวกัน เนื้อเรื่องก็เข้าถึงง่ายและให้ข้อคิด แม้จะเป็นภาพยนตร์สำหรับเด็ก แต่ Wish Dragon ก็มีเนื้อเรื่องที่เข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัย และสอดแทรกข้อคิดดีๆ เกี่ยวกับความหมายของความสุขที่แท้จริง มิตรภาพที่บริสุทธิ์ และความสำคัญของครอบครัว ภาพยนตร์มี อารมณ์ขันที่ลงตัว มุกตลกสอดแทรกเข้ามาอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ผู้ชมได้หัวเราะและผ่อนคลายไปกับเรื่องราว โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างดีนกับหลงที่มักจะสร้างเสียงหัวเราะได้เสมอ นอกจากนี้ ยังมีการ

รีวิวภาพยนตร์แอนิเมชั่นบาร์บี้ Barbie Fairytopia (2005)
การ์ตูน

รีวิวภาพยนตร์แอนิเมชั่นบาร์บี้ Barbie Fairytopia (2005)

หนังเรื่อง Barbie Fairytopia เป็นภาพยนตร์แอนิเมชัน CGI วางจำหน่ายโดยตรงในรูปแบบวิดีโอในปี 2005 เล่าเรื่องของ “เอลินา” นางฟ้าที่ไม่มีปีกซึ่งอาศัยอยู่ในทุ่งหญ้ามหัศจรรย์ (Magic Meadow) เอลินาออกเดินทางเพื่อหยุดยั้งลาเวอร์นา ตัวร้ายผู้มุ่งยึดครองดินแดนแฟร์รี่โทเปียให้ได้ ฉันไม่เคยดูอะไรในจักรวาล Barbie มาก่อนนอกจากซีรีส์ขำขันล้อเลียนอย่าง Life in the Dreamhouse ดังนั้นฉันจึงคาดหวังว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นแค่หนังราคาถูก รีบทำ รีบขาย และออกแบบมาเพื่อขายของเล่น แต่กลับกลายเป็นว่าไม่มีอะไรเตรียมฉันให้พร้อมสำหรับความใส่ใจในบท ภาพยนตร์แอนิเมชั่น ขนาดนี้ได้เลย ฉันกล้าพูดว่าเอลีส อัลเลน และไดแอน ดูแอน ผู้เขียนบทคงใช้เวลาหลายเดือนในการเขียนบทนี้ มันเต็มไปด้วย “ตำนาน” (Lore) ที่ดูเหมือนจะถูกสร้างขึ้นมาใหม่หมดเพื่อหนังเรื่องนี้โดยเฉพาะ มีทั้งโลกที่ซับซ้อน ตัวละครหลากหลาย และสิ่งมีชีวิตในเทพนิยายแบบที่นึกว่าเปิดสารานุกรมแฟนตาซี มีโครงสร้างทางการเมืองแบบลำดับขั้น และกฎเกณฑ์มากมายเกี่ยวกับเวทมนตร์สายรุ้ง แม้มันจะดูยากต่อการเข้าใจ เต็มไปด้วยศัพท์เฉพาะและเวิร์ลด์ที่หลุดโลกจนนึกว่าเป็นภาพหลอนจากไข้สูง แต่นั่นแหละคือเสน่ห์ของมัน ผู้เขียนให้ข้อมูลเราเท่าที่จำเป็นต่อการดำเนินเรื่อง และเติมช่องว่างเฉพาะเมื่อจำเป็น ไม่ใช่แบบถูก ๆ แต่ด้วยวินัยในการเล่าเรื่องอย่างแท้จริง มีบางช่วงในตอนท้ายที่ปมต่าง ๆ ถูกคลี่คลายจากเงื่อนงำที่ถูกวางไว้อย่างแนบเนียนตั้งแต่ต้น ซึ่งให้ความรู้สึกคุ้มค่าอย่างมาก สองผู้เขียนบทดูเหมือนจะศึกษาทฤษฎีของโจเซฟ

โดราเอมอน เดอะ มูฟวี่ ตอน โลกแห่งซิมโฟนี่ของโนบิตะ
หนัง

รีวิว โดราเอมอน เดอะ มูฟวี่ ตอน โลกแห่งซิมโฟนี่ของโนบิตะ

รีวิว โดราเอมอน เดอะ มูฟวี่ ตอน โลกแห่งซิมโฟนี่ของโนบิตะ มาร่วมกันออกเดินทางผจญภัยครั้งใหม่ในผ่านการบรรเลงเสียงดนตรีแสนไพเราะเพราะพริ้ง และกอบกู้สถานการณ์จากสิ่งอันตรายรอบทิศทางที่มารุกรานโลกแห่งเสียงดนตรีของพวกเขา นับว่าโดราเอมอน เดอะ มูฟวี่ ภาคนี้ ยังคงสร้างความประทับใจในกลิ่นอายของมิตรภาพ ความมุ่งมั่นพยายาม และเรียกรอยยิ้ม เสียงหัวเราะได้เป็นอย่างดี เนื้อเรื่อง โดราเอมอน เดอะ มูฟวี่ ตอน โลกแห่งซิมโฟนี่ของโนบิตะ เล่าเรื่องราวของพวกโนบิตะ เมื่อเกิดสถานการณ์แปลกประหลาดบนโลก เนื่องจากเสียงดนตรีในชีวิตประจำวันบนโลกขาดหายไปในบางครั้งบางคราว โดราเอมอน โนบิตะ และผองเพื่อน จึงต้องหาวิถีทางในการช่วยโลกให้พ้นจากวิกฤตในครั้งนี้ เพื่อปกป้องเสียงดนตรีให้ไม่เลือนหายไป ร้อยเรียงความสนุกผ่านการสร้างสรรค์พล็อตเนื้อหารูปแบบใหม่อีกครั้ง เมื่อ ภาพยนตร์แอนิเมชัน นำเรื่องราวเกี่ยวกับเสียงดนตรีมาชูโรงหลักในการออกเดินทางผจญภัยของโดราเอมอน และผองเพื่อน ซึ่งเรามีความรู้สึกว่าบทภาพยนตร์มีความน่าติดตามและมีสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกประทับใจมากขึ้น ในด้านของการวางปมปัญหา และจุดเชื่อมโยงของตัวละคร แอบมีความซับซ้อนและท้าทายการพิทักษ์โลกของพวกโนบิตะมากเลยทีเดียว อีกทั้ง ยังเสริมความสนุกผ่านมุกตลก และคาแรคเตอร์หลักของตัวละครเดิม ๆ ไว้ได้กลมกล่อมทีเดียว บทสลรุปการ รีวิวการ์ตูน เรื่องโดราเอมอน เดอะ มูฟวี่ ตอน โลกแห่งซิมโฟนี่ของโนบิตะ จึงเป็นอีกหนึ่งภาคที่ยังสามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมได้ดีเช่นเดิม มีการชูโรงพล็อตเนื้อหาของโลกดนตรีซึ่งบรรเลงความไพเราะเสนาะหูออกมาตลอดทั้งเรื่อง แม้ว่าการดำเนินเนื้อหาอาจจะมีรูปแบบเดิม ๆ เดาทางได้ง่าย แต่มีการสอดแทรกแง่คิดให้เราได้เรียนรู้ในตัวละครอยู่เสมอ ซึ่งองค์ประกอบการสร้างต่าง ๆ ทั้งงานภาพ แอนิเมชัน

รีวิว The Super Mario Bros
การ์ตูน

รีวิว The Super Mario Bros

The Super Mario Bros การผจญภัยในอาณาจักรเห็ดของมาริโอ ลุยจิ เจ้าหญิงพีช และผองเพื่อน เพื่อปกป้องอาณาจักรอันเป็นที่รักให้รอดพ้นจาก วายร้าย เจ้าบาวเซอร์ ผ่านดินแดนที่แฟนเกมคุ้นเคย รวมถึงไอเทมจากเกมที่เราเคยเห็นเช่น ดอกไม้ไฟ ดาว ชุดแปลงร่าง หรือแม้แต่กระทั่งมาริโอคาร์ท ก็ถูกนำมาไว้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย ซึ่งว่ากันตามตรงหนังก็ให้ความบันเทิงในระดับที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับคอเกมหรือคอแอนิเมชัน และมีลูกเล่นในการเล่าที่ดี โดยเล่าเรื่องของ สองพี่น้องมาริโอกับลุยจิ ที่ถูกมองว่าเป็นลูกที่ไม่เอาไหน แต่ทั้งสองคนก็เชื่อว่าถ้ารวมพลังกันสองพี่น้องก็ต้องผ่านทุกอุปสรรคคำถากถางทั้งหลายไปได้ แต่แล้ววันหนึ่งพวกเขาก็หลุดเข้าไปในอาณาจักรแฟนตาซีที่วายร้ายบาวเซอร์กำลังทำลายอาณาจักรต่าง ๆ เพื่อครองโลกและเอาชนะใจเจ้าหญิงพีชแห่งอาณาจักรเห็ดไปพร้อมกัน หนังมีการใช้ความสัมพันธ์พี่น้องที่น่าสนใจเป็นตัวตั้งต้น มาริโอพยายามพิสูจน์ตัวเองและให้กำลังใจน้องชาย ขณะที่ลุยจิก็เชื่อมั่นในพี่ชายโดยไม่ปริปากบ่นอยู่เสมอ และเมื่อหลุดไปโลกแฟนตาซีหนังก็ใช้จุดนี้ในการนำพาตัวละครมาริโอมีแรงจูงใจเพื่อไปช่วยน้องชายที่ถูกจับไปด้วยเช่นกัน ทว่าแม้หนังจะมีซีจีที่งดงามราวกับทำให้ตัวละครในเกมมีชีวิตขึ้นมาจริง ๆ มีลูกเล่น ฉากหลัง กิมมิก และตัวละครมหาศาลให้ใช้ แถมเนื้อเรื่องก็เรียกว่าตามสูตรเอาท่าง่ายชนิดที่เปิดมาดูช่วงไหนก็เข้าใจเรื่องได้เลย แต่ด้วยความอ่อนประสบการณ์เล็กๆ น้อย ๆ ที่เก็บไม่ละเอียดของผู้กำกับก็ทำให้หนังไม่สามารถทำให้เราอินไปได้มากพอ หลายตัวละครขาดมิติหรือที่มาที่ไปของแรงจูงใจไปอย่างน่าเสียดาย เช่นเจ้าหญิงพีชมีมุมที่เธอสามารถแสดงความอ่อนแอและต้องฝืนเข้มแข็งเพื่อปกป้องพวกเห็ด รวมถึงความขัดแย้งในใจที่เธอเป็นมนุษย์เพียงคนเดียวในอาณาจักรเห็ด แต่หนังก็พลาดที่จะใส่ฉากความลังเลหรือหยุดคิดไปแบบน่าเสียดาย มันเลยเห็นแต่เจ้าหญิงพีชที่ห้าวหาญแข็งกระด้างและทำอะไรไปแบบถูกบทบัญชาอย่างน่าเสียดาย เช่นเดียวกับบาวเซอร์ที่เราก็ไม่ได้เห็นว่าทำไมตัวละครนี้ถึงฝังใจใน เจ้าหญิงพีช ขนาดนั้น ถ้าใส่ฉากในอดีตว่าทั้งคู่เคยเจอกันตอนเด็กหรืออะไรไปก็อาจทำให้เรื่องมีมิติมากกว่านี้ หรืออย่างเจ้าเห็ดโท้ดถ้าอยู่ในมือผู้กำกับที่เล่นเป็น นี่จะเป็นคาแรกเตอร์น้อนที่ยิงมุกกระจายและขโมยซีนได้ตลอดเรื่องแน่นอน แต่ในเรื่องนี้ก็เป็นได้แค่ตัวละครประกอบฉากเสียอย่างนั้น เช่นเดียวกันกับอีกหลายตัวละครที่คงมีฉากโชว์มิติลึกๆ

รีวิว นาจา เกิดอีกครั้งก็ยังเทพ - New Gods Nezha Reborn
การ์ตูน

รีวิว นาจา เกิดอีกครั้งก็ยังเทพ – New Gods Nezha Reborn

นาจา เกิดอีกครั้งก็ยังเทพ เป็นภาพยนตร์แอนิเมชั่นแฟนตาซีสามมิติจากแผ่นดินมังกร ที่ยังคงหยิบเอาตัวละคร นาจา มาตีความใหม่ ในเรื่องราวของการกลับชาติมาเกิดในร่างของเด็กหนุ่มนักบิดมอเตอร์ไซต์  หลี่ อวิ๋นเสียง  เมื่อพลังที่ซ่อนอยู่ในตัวอวิ๋นเสียงเริ่มปรากฏทำให้เหล่าศัตรูจากพันปีก่อนที่ยังซ่อนตัวอยู่บนโลกมนุษย์เริ่มออกล่าเขาอีกครั้ง เพราะเชื่อว่าพลังเทพนาจาในร่างเขาจะนำมาซึ่งหายนะครั้งใหม่ หลี่หยุนเสี่ยง หนุ่มนักซิ่งมอเตอร์ไซค์สุดเท่ ที่มีอาชีพหลักเป็นการค้าของเถื่อนเพื่อเลี้ยงครอบครัวที่มีพ่อ พี่ชายและน้องสาว โดยพวกเขาอาศัยอยู่ในเมืองตงไห่ ดินแดนแห้งแล้งที่ถูกผู้มีอำนาจผูกขาดน้ำไว้ ความเป็นอยู่ของผู้คนในตงไห่จึงไม่ราบรื่นเท่าไหร่นัก จนกระทั่งหยุนเสี่ยงได้เข้าปะทะกับแก๊งมาเฟียของตงไห่ที่มีทั้งอำนาจและพลังพิเศษ ครอบครัวของเขาต้องพบเรื่องร้าย แต่ขณะเดียวกันนั้น หยุนเสี่ยงก็ได้พบว่าในกายของเขา มีพลังของเทพนาจาซ่อนไว้และรอที่จะระเบิดออกมา ความรู้สึกหลังชม นาจา เกิดอีกครั้งก็ยังเทพ ต้องขอชื่นชมการตีความครั้งใหม่ของตัวละครเทพในตำนานอย่าง นาจา ที่ทำออกมาได้อย่างเพลิดเพลิน ตื่นตาตื่นใจ จนรู้สึกว่าคนไทยควรได้ดู แอนิเมชั่น เรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์มากกว่าในระบบสตรีมมิ่ง เพราะด้วยองค์ประกอบของงานภาพ แสง สี เสียง ที่เข้าขั้น Worldwide ขึ้นเรื่อยๆ  สำหรับสตูดิโอของทางประเทศจีนก็ส่งให้ฉากมหาศึกระหว่างเทพและมารในครั้งนี้ น่าจดจำสุดๆ รวมถึงการตีความประเด็นการจุติใหม่ของเทพนาจาในตัวละครพระเอก หลี่ อวิ๋นเสียง  ก็ทำได้น่าติดตาม มีการหยิบเอาตำนานชีวิตของนาจามาปรับประยุกต์ให้เข้ากับสถานการณ์ของตัวละครในปัจจุบัน ทั้งในแง่นิสัย ปัญหาทางครอบครัวหรือการที่เขาถูกขนามนามว่า ตัวก่อปัญหา จนนำไปสู่ Conflix ที่เข้มข้นและน่าเห็นใจอยู่เสมอสำหรับเรื่องราวของเทพเด็กผู้ทรงพลังอย่างนาจา แต่ตัวเรื่องก็ใช้เวลาพอสมควร ในการปูพื้นตัวละครทั้งตัวหลัก

นาคามรกต – Green Snake
การ์ตูน

นาคามรกต – Green Snake

นาคามรกต การ์ตูน Netflix แอนิเมชันแนวแฟนตาซีสุดอลังการจากประเทศจีน เกี่ยวกับตำนานพื้นบ้านสุดคลาสสิกเรื่องนางพญางูขาว เรื่องราวของ เสี่ยวชิง พญางูเขียว ศิษย์ผู้น้องของ ไป่ซู่เจิน นางพญางูขาว ได้ต่อสู้กับหลวงจีนฝาไห่ เพื่อช่วย ไป่ซู่เจิน ที่ถูกจับขังไว้ในเจดีย์ แต่เธอพลาดท่าถูกหลวงจีนฝาไห่ ผลักเธอเข้าไปสู่มิติแห่งนครอสูร ที่เต็มไปด้วยภูตผีปีศาจ เสี่ยวชิง ได้พบกับศัตรูเก่าอย่าง ปีศาจกระทิงและพวกปีศาจร้าย ที่จ้องเล่นงานเธอด้วยวิธีการต่าง ๆ เสี่ยวชิง ต้องหนีออกจากนครอสูรให้ได้ นาคามรกต (Green Snake) หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ตำนานนางพญางูขาว 2 (White Snake) คือการที่หยิบยกเอาเรื่องเล่าขานตำนานพื้นบ้านของจีนขึ้นมาสร้างให้ออกมาในรูปแบบอนิเมะโดยภาคแรกในปี 2019 นั้นจะเป็นการเล่าเรื่องผ่านมุมมองของ ไป๋ซู่เจิน หรือนางพญางูขาว ส่วนในภาคนี้ตัวละคร “เสี่ยวชิง” หรืองูเขียวศิษย์น้องผู้เป็นดั่งน้องรักของไป๋ซู่เจินขึ้นมารับหน้าที่หลักในการเล่าเรื่องผ่านมุมมองของเธอแทน โดยเรื่องนี้ได้หลายค่ายใหญ่ร่วมทุนสร้างรวมไปถึง Netflix ซึ่งยังมีหลายท่านอาจจะยังไม่คุ้นหน้าคุ้นตากับอนิเมะจีนนัก เรื่องย่อ นาคามรกต (Green Snake) “ปีศาจกับมนุษย์ชะตามิมีวันบรรจบ” ไป๋ซู่เจิน ประจันหน้ากับ ฝาไห่ จนพลาดท่าถูกเขาผนึกไว้ใต้เจดีย์ เหลยเฟิง เมื่อผู้เป็นพี่ตกอยู่ในอันตราย

Scroll to Top