รีวิวหนัง หลวงพี่แจ๊สโคตรซิ่ง ฮาตามสูตรสำเร็จที่คาดเดาได้ การซิ่งครั้งนี้จึงไม่สุดทาง
ออกจากทางธรรมเข้าสู่ทางโลก และโบกสะบัดความสนุกเฮฮาแบบป่วนเมืองในภาพยนตร์ หลวงพี่แจ๊สโคตรซิ่ง ซึ่งในภาคนี้ พี่แจ๊ส นักแสดงหลักยังนั่งเก้าอี้ผู้กำกับร่วมกับพี่พชร์ อานนท์ อีกด้วย ทำให้มุมมองความสนุกตามสไตล์ของพี่พชร์กับพี่แจ๊สถูกผสมผสานความสนุกประกอบเป็นรูปร่างแบบไม่กระจัดกระจายจนจับต้นชนปลายไม่ถูก พร้อมเส้นเรื่องหลักที่ชวนติดตามปมปัญหาและการคลี่คลายเรื่องราวเริ่มต้นเมื่อหลวงพี่แจ๊สต้องลาสิกขาเนื่องจากดันขับมอเตอร์ไซค์ตามจับโจรขโมยพระในวัด เหตุการณ์นี้ผลักดันให้เขาต้องเผชิญโลกฆราวาสอันโหดร้าย ทั้งผู้คนและการดิ้นรนทำมาหากิน ซึ่งปมนี้ถือเป็นแกนหลักที่ร้อยเรียงเรื่องราวชีวิตหลังสึกได้อย่างน่าสนใจ การเข้ามาของตัวละครสำราญและคุณแม่ก็ช่วยเสริมมิติเบื้องหลังให้เนื้อหามีอะไรให้ติดตามมากยิ่งขึ้นอย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าเสียดายคือจังหวะการเล่าเรื่องที่ยังไม่ไหลลื่นเท่าที่ควร การสลับฉากที่ดูขัด ๆ และฉากเสริมบางฉากที่ดูเหมือนจะถูกใส่เข้ามาเพื่อยืดเวลาโดยไม่ได้มีส่วนสำคัญกับเนื้อหาหลักมากนัก อาจทำให้ความสนุกต่อเนื่องลดลงไปบ้าง นอกจากนี้ การคลายปมปัญหาและบทสรุปของตัวละครก็ยังดูรีบรวบรัด ไม่สมเหตุสมผลเท่าที่ควร ยังคงวนเวียนอยู่กับสูตรสำเร็จเดิม ๆ ที่ไม่ได้สร้างความแปลกใหม่หรือเซอร์ไพรส์คนดูมากนัก ถึงกระนั้น ในแง่ของความบันเทิง หลวงพี่แจ๊สโคตรซิ่ง ก็ยังพอสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะได้ในระดับที่น่าพอใจ แม้ว่ามุกตลกหลาย ๆ ฉากอาจจะไม่สดใหม่นัก แต่ด้วยการถ่ายทอดของนักแสดงและจังหวะการนำเสนอก็ถือว่าทำได้ลงตัวในระดับหนึ่ง แม้ช่วงที่ปล่อยมุกฮาอาจจะไม่ถี่มากนักแต่ก็มีแทรกเข้ามาเป็นระยะ ซึ่งนอกจากความฮาแล้ว สิ่งที่น่าสนใจคือภาพยนตร์ยังคงสอดแทรกข้อคิดดี ๆ ทั้งในทางธรรมและทางโลก เปรียบเสมือนแก่นของเรื่องที่ต้องการสื่อสารให้ผู้ชมได้ฉุกคิดและนำไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิตสิ่งที่ต้องชื่นชมเป็นพิเศษคือ พลังทางการแสดง ของ แจ๊ส ชวนชื่น ที่แบกรับภาพยนตร์ไว้เกือบทั้งเรื่อง แม้บทสนทนาบางครั้งอาจจะไม่คมคายเท่าที่ควร แต่ด้วยองค์ประกอบทางการแสดง เสื้อผ้า หน้าผม และความทุ่มเทในการแสดง ก็สามารถสร้างสีสันและความฮาให้กับตัวละครได้อย่างโดดเด่น อีกหนึ่งนักแสดงที่ขโมยซีนได้ไม่น้อยคือ “ป้ารัตนา” […]