สำหรับการ รีวิวหนัง เรื่อง The Theory of Everything เป็นภาพยนตร์ดราม่าชีวประวัติที่ออกฉายในปี 2014 สร้างจากเรื่องจริงของนักฟิสิกส์ทฤษฎีชื่อก้องโลกอย่าง สตีเฟน ฮอว์กิง และชีวิตรักของเขากับภรรยาคนแรก เจน ไวลด์ภาพยนตร์เริ่มต้นในปี 1963 ที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ โดยเล่าเรื่องราวความรักของนักศึกษาฟิสิกส์อัจฉริยะอย่าง สตีเฟน ฮอว์กิง และ เจน ไวลด์ นักศึกษาวรรณคดีผู้เปี่ยมไปด้วยศรัทธา ทั้งคู่ตกหลุมรักกันอย่างลึกซึ้ง แต่ความสุขของพวกเขาก็ถูกท้าทายอย่างใหญ่หลวงเมื่อสตีเฟนได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือ ALS ซึ่งแพทย์ทำนายว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียง 2 ปีเท่านั้น
เรื่องราวเริ่มต้นของทฤษฎีรักนิรันดร
ช่วงเริ่มต้นและจุดเปลี่ยนของชีวิตภาพยนตร์เปิดเรื่องในปี 1963 ที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ สตีเฟน ฮอว์กิง เป็นนักศึกษาฟิสิกส์ดาราศาสตร์ปริญญาเอกที่ฉลาดเป็นเลิศแต่ยังขาดหัวข้อวิทยานิพนธ์ เขาได้พบกับ เจน ไวลด์ นักศึกษาวรรณคดีที่โบสถ์ และทั้งคู่ก็ตกหลุมรักกัน ในระหว่างที่สตีเฟนกำลังศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับทฤษฎีหลุมดำ เขาก็เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติทางร่างกาย เช่น การเดินสะดุดและมือสั่น หลังจากล้มลงอย่างรุนแรง เขาก็ถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคเซลล์ประสาทสั่งการเสื่อม หรือที่รู้จักในชื่อ ALS แพทย์บอกกับเขาว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกิน 2 ปี สตีเฟนพยายามตีตัวออกห่างจากเจนด้วยความสิ้นหวัง แต่เจนไม่ยอมแพ้และยืนยันที่จะอยู่เคียงข้างเขา พวกเขาทั้งสองจึงแต่งงานกันการต่อสู้กับโรคและชีวิตครอบครัวแม้จะป่วยหนัก สตีเฟนยังคงมุ่งมั่นทำวิทยานิพนธ์ต่อ โดยมีเจนเป็นกำลังใจสำคัญ เขาสามารถผ่านการสอบและได้รับปริญญาเอกได้สำเร็จ พวกเขามีลูกด้วยกันสามคน แต่สภาพร่างกายของสตีเฟนก็ทรุดโทรมลงเรื่อยๆ เขาต้องใช้ไม้เท้าและในที่สุดก็ต้องนั่งรถเข็น เจนต้องแบกรับภาระหนักในการดูแลทั้งสามีและลูกๆ ทำให้เธอไม่มีเวลาทำตามความฝันของตัวเองในการทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกด้านวรรณคดี
เจนเริ่มมีความเครียดและความเหนื่อยล้าสะสมความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและการแยกทางเจนตัดสินใจเข้าร่วมคณะนักร้องประสานเสียงในโบสถ์ และได้พบกับ โจนาธาน โจนส์ ครูสอนเปียโนที่เป็นพ่อม่าย โจนาธานเข้ามาช่วยดูแลสตีเฟนและลูกๆ ซึ่งทำให้เจนรู้สึกดีขึ้น ความใกล้ชิดระหว่างเจนกับโจนาธานทำให้เกิดความรู้สึกที่ซับซ้อน แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็เป็นไปอย่างบริสุทธิ์ใจและไม่ได้มีการนอกใจกันแต่อย่างใดต่อมา สตีเฟนล้มป่วยด้วยโรคปอดบวมขณะเดินทางไปปารีส และแพทย์จำเป็นต้องเจาะคอเพื่อช่วยชีวิต ทำให้เขาไม่สามารถพูดได้อีกต่อไปหลังจากนั้นเขาต้องใช้เครื่องช่วยสื่อสารที่ประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่โดยคอมพิวเตอร์เพื่อสื่อสารกับผู้อื่น และได้ อีเลน เมสัน เข้ามาเป็นพยาบาลประจำตัว ในที่สุด สตีเฟนก็ตัดสินใจแยกทางกับเจนและไปอยู่กับอีเลนในปี 1990 ทั้งคู่หย่าขาดกันในปี 1995 การวิจัยอย่างเข้มข้นของนักแสดง เอ็ดดี้ เรดเมย์น ใช้เวลาหลายเดือนในการศึกษาและเตรียมตัวอย่างหนักเพื่อรับบทบาทเป็น สตีเฟน ฮอว์กิง เขาดูวิดีโอสัมภาษณ์ของสตีเฟนเป็นจำนวนมาก และทำงานร่วมกับนักเต้นเพื่อเรียนรู้การเคลื่อนไหวของร่างกายที่ค่อยๆ ทรุดโทรมลงจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง อย่างเป็นขั้นเป็นตอน นอกจากนี้ เขายังต้องเรียนรู้วิธีการควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้าเพื่อสื่อสารความรู้สึกผ่านดวงตาเพียงอย่างเดียวในช่วงท้ายของภาพยนตร์คำชื่นชมและ
คำชื่นชมและรางวัลที่ได้รับของภาพยนต์
รางวัลที่ได้รับการแสดงอันยอดเยี่ยมภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการยกย่องอย่างสูงจากนักวิจารณ์ โดยเฉพาะการแสดงของ เอ็ดดี้ เรดเมย์น ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลอันทรงเกียรติสูงสุดอย่าง รางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม และ รางวัลลูกโลกทองคำ ในปี 2015 ในขณะที่ เฟลิซิตี้ โจนส์ ก็ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมเช่นกันคำยกย่องจากบุคคลจริง ทั้ง สตีเฟน ฮอว์กิง และ เจน ฮอว์กิง ต่างชื่นชมภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยสตีเฟนถึงกับเอ่ยปากว่า ในบางช่วงที่ดู ผมรู้สึกเหมือนกำลังดูตัวเอง และยังมอบเสียงสังเคราะห์ที่เขาใช้จริงในชีวิตให้กับทีมผู้สร้างเพื่อใช้ในฉากสุดท้ายของภาพยนตร์อีกด้วย
บทสรุปของเรื่องราว
ถึงแม้จะแยกทางกันแล้ว สตีเฟนและเจนยังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน พวกเขาไปร่วมงานเลี้ยงเพื่อรับรางวัลต่างๆ ของสตีเฟนด้วยกัน รวมถึงการที่สตีเฟนได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์จากสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 2 ในตอนท้ายของภาพยนตร์ มีการย้อนภาพความทรงจำของทั้งคู่ในอดีต ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความรักอันยิ่งใหญ่และการเดินทางที่ยาวนานของพวกเขาในฐานะคู่ชีวิตและครอบครัว สตีเฟน ฮอว์กิง เสียชีวิตในปี 2018 ด้วยอายุ 76 ปี ซึ่งยาวนานกว่าที่แพทย์วินิจฉัยไว้ถึง 55 ปี เขาได้ทิ้งมรดกอันยิ่งใหญ่ไว้ในโลกของวิทยาศาสตร์และเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนทั่วโลก
ช่องทางรับชมตัวอย่างหนัง: The Theory of Everything ทฤษฎีรักนิรันดร
แนะนำหนังที่น่าสนใจ: Love Hard หลอกรักไว้ดักเลิฟ
