ในซีรี่ส์เรื่อง Money Heist (ชื่อภาษาสเปน: La Casa de Papel) เป็นซีรีส์แนวอาชญากรรมจากสเปนที่สร้างโดย Álex Pina ซึ่งกลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลกหลังจากที่ Netflix นำมาฉายทั่วโลก ซีรีส์เรื่องนี้เปิดตัวครั้งแรกในปี 2017 และมีทั้งหมด 5 พาร์ต (รวม 41 ตอน) โดยแต่ละตอนเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ฉากดราม่าที่ตราตรึง และแผนการที่ชาญฉลาด
เรื่องราวเริ่มต้นจากชายลึกลับที่ใช้ชื่อว่า “ศาสตราจารย์” (The Professor) วางแผนปล้นโรงกษาปณ์ของสเปนด้วยการรวบรวมกลุ่มอาชญากรที่มีความสามารถเฉพาะตัว โดยแต่ละคนใช้ชื่อเมืองเป็นโค้ดเนม เช่น โตเกียว, เบอร์ลิน, ไนโรบี, เดนเวอร์, ริโอ ฯลฯ เป้าหมายของพวกเขาคือการพิมพ์เงินกว่า 2.4 พันล้านยูโร โดยต้องควบคุมสถานที่ กำจัดอุปสรรคจากตำรวจ และประคับประคองความสัมพันธ์ในกลุ่มที่ตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ
สิ่งที่โดดเด่นใน Money Heist คือบทที่เขียนอย่างมีชั้นเชิง ตัวละครมีมิติและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ผู้ชมจะค่อยๆ เข้าใจว่าเบื้องหลังการปล้นนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของเงิน แต่ยังสะท้อนถึงการต่อต้านระบบ เผด็จการ การเมือง และชนชั้นในสังคมอย่างแหลมคม ซีรีส์หยิบประเด็นทางสังคมมาสอดแทรกได้อย่างแนบเนียน โดยเฉพาะผ่านตัวละครที่มีความขัดแย้งภายในอย่าง “โตเกียว” และ “เบอร์ลิน” ซึ่งทั้งดุดันและมีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง
นอกจากนี้ ซีรีส์ยังใช้สัญลักษณ์อย่าง “หน้ากากดาลี” และ “เพลง Bella Ciao” มาเป็นเครื่องหมายของการต่อต้านและอิสรภาพ จนกลายเป็นไอคอนทางวัฒนธรรมที่แฟนๆ ทั่วโลกรู้จักและนำไปใช้ในการประท้วงในชีวิตจริงหลายประเทศ
การดำเนินเรื่องของเรื่องนัเเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและการหักมุมตลอดเวลา ทำให้ผู้ชมไม่สามารถคาดเดาได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครก็น่าสนใจ ทั้งความรัก ความเกลียดชัง และความจงรักภักดีที่แปรเปลี่ยนได้เสมอ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือความสัมพันธ์ระหว่างโตเกียวกับริโอ หรือความรักที่ก่อตัวระหว่างศาสตราจารย์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ “ราเกล”
ด้านโปรดักชัน ซีรีส์ทำได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งในเรื่องของฉาก มุมกล้อง และดนตรีประกอบที่ช่วยสร้างอารมณ์ให้กับเรื่องอย่างได้ผล เพลง “Bella Ciao” ที่กลายเป็นธีมหลักของเรื่องก็ช่วยส่งเสริมบรรยากาศการปฏิวัติและการต่อสู้ได้อย่างทรงพลัง
แม้ว่าในบางช่วงของเรื่องโดยเฉพาะพาร์ทหลังๆ จะมีการยืดเนื้อเรื่องหรือเน้นดราม่าบางจุดเกินไปจนทำให้จังหวะเรื่องช้าลงบ้าง แต่ก็ยังสามารถรักษาความสนใจของผู้ชมได้อยู่ เพราะมีฉากแอ็กชันและการหักมุมที่คอยกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง
เป็นซีรีส์ที่มากกว่าการปล้น มันคือการเล่าเรื่องของกลุ่มคนที่ท้าทายอำนาจ ด้วยแผนการที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย ซีรีส์นี้เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบความระทึก ดราม่า และเนื้อหาที่มีความลึก มีหลายชั้นในการตีความ และยังเปิดโอกาสให้ผู้ชมตั้งคำถามกับระบบสังคมที่เราอยู่ได้อย่างเฉียบคม