หนังเรื่อง Barbie Fairytopia เป็นภาพยนตร์แอนิเมชัน CGI วางจำหน่ายโดยตรงในรูปแบบวิดีโอในปี 2005 เล่าเรื่องของ “เอลินา” นางฟ้าที่ไม่มีปีกซึ่งอาศัยอยู่ในทุ่งหญ้ามหัศจรรย์ (Magic Meadow) เอลินาออกเดินทางเพื่อหยุดยั้งลาเวอร์นา ตัวร้ายผู้มุ่งยึดครองดินแดนแฟร์รี่โทเปียให้ได้ ฉันไม่เคยดูอะไรในจักรวาล Barbie มาก่อนนอกจากซีรีส์ขำขันล้อเลียนอย่าง Life in the Dreamhouse ดังนั้นฉันจึงคาดหวังว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นแค่หนังราคาถูก รีบทำ รีบขาย และออกแบบมาเพื่อขายของเล่น
แต่กลับกลายเป็นว่าไม่มีอะไรเตรียมฉันให้พร้อมสำหรับความใส่ใจในบท ภาพยนตร์แอนิเมชั่น ขนาดนี้ได้เลย ฉันกล้าพูดว่าเอลีส อัลเลน และไดแอน ดูแอน ผู้เขียนบทคงใช้เวลาหลายเดือนในการเขียนบทนี้ มันเต็มไปด้วย “ตำนาน” (Lore) ที่ดูเหมือนจะถูกสร้างขึ้นมาใหม่หมดเพื่อหนังเรื่องนี้โดยเฉพาะ มีทั้งโลกที่ซับซ้อน ตัวละครหลากหลาย และสิ่งมีชีวิตในเทพนิยายแบบที่นึกว่าเปิดสารานุกรมแฟนตาซี มีโครงสร้างทางการเมืองแบบลำดับขั้น และกฎเกณฑ์มากมายเกี่ยวกับเวทมนตร์สายรุ้ง
แม้มันจะดูยากต่อการเข้าใจ เต็มไปด้วยศัพท์เฉพาะและเวิร์ลด์ที่หลุดโลกจนนึกว่าเป็นภาพหลอนจากไข้สูง แต่นั่นแหละคือเสน่ห์ของมัน ผู้เขียนให้ข้อมูลเราเท่าที่จำเป็นต่อการดำเนินเรื่อง และเติมช่องว่างเฉพาะเมื่อจำเป็น ไม่ใช่แบบถูก ๆ แต่ด้วยวินัยในการเล่าเรื่องอย่างแท้จริง มีบางช่วงในตอนท้ายที่ปมต่าง ๆ ถูกคลี่คลายจากเงื่อนงำที่ถูกวางไว้อย่างแนบเนียนตั้งแต่ต้น ซึ่งให้ความรู้สึกคุ้มค่าอย่างมาก
สองผู้เขียนบทดูเหมือนจะศึกษาทฤษฎีของโจเซฟ แคมป์เบลล์มาเป็นอย่างดี เพราะนี่คือ “การเดินทางของวีรบุรุษ” ที่ครบถ้วน ไม่ใช่เรื่องเล่าไร้สาระแบบที่มักพบในสื่อสำหรับเด็ก มีประเด็นเรื่องการเสียสละตนเอง และการยอมรับในสิ่งที่ทำให้เราแตกต่าง แม้สังคมจะพยายามทำให้เรารู้สึกด้อยค่าก็ตาม
และด้วยประเด็นนั้น การตีความในมุมของ “ความหลากหลายทางเพศ” จึงเกิดขึ้นได้ง่าย และเมื่อฉันเริ่มมองในมุมนั้น ฉันก็ต้องตกใจว่า…มันเข้ากันได้ดีอย่างเหลือเชื่อ ทุกอย่างตั้งแต่ภาพสายรุ้ง ดอกไม้ทั่วฉาก ตัวละครชายที่มีน้อยและมักมีลักษณะอ่อนโยน หรือแม้กระทั่งเคมีโรแมนติกระหว่าง เอลินา กับนางฟ้าหญิงอีก 2-3 ตน ล้วนเปิดช่องให้การตีความในมุมนี้ โดยเฉพาะ “ความอยากมีปีก” ของเอลินาที่อ่านได้ว่าเป็นความปรารถนาในการเป็นที่ยอมรับในสิ่งที่เธอเป็น ทั้งที่แตกต่างจากมาตรฐานสังคม—คล้ายการยอมรับตนเองและการเปิดเผยอัตลักษณ์
ไม่ว่าคุณจะมองในมุมไหน นี่คือผลงานที่ยึดถือหลักของการเล่าเรื่องแบบ “พื้นฐาน” อย่างแท้จริง ถึงจะดูเป็นสูตรสำเร็จและคาดเดาได้ แต่ “แม่แบบ” เหล่านี้มีอยู่มานานนับศตวรรษด้วยเหตุผล และที่นี่ก็ใช้มันอย่างมีประสิทธิภาพ
แต่น่าเสียดาย ฝั่งงานภาพกลับตรงข้ามโดยสิ้นเชิง การแอนิเมชันอยู่ในระดับคัตซีนของ PlayStation 2—และนั่นอาจจะยังใจดีเกินไป ตัวละครดูแข็งทื่อ สีสันมืดมัวและไม่สดใส
แม้จะพยายามใช้ข้อจำกัดนั้นสร้างบรรยากาศฝันมัว ๆ ด้วยสีสันตัดกันแบบประหลาด แต่สุดท้ายมันก็ดูไม่สวยและง่ายเกินไป ตัวละครส่วนใหญ่ดูเหมือนตุ๊กตาบาร์บี้แบบโหล ๆ ที่ไม่มีจุดเด่นชัดเจน
และสิ่งที่รบกวนใจมากที่สุดคือ บิ๊บเบิ้ล ตัวละครข้างเคียงที่พูดเสียงแหลมสูงปรี๊ดเป็นภาษากึ๋นๆ ที่ฟังไม่รู้เรื่อง หากเคยรู้สึกว่าเขาน่ารัก ก็จะเลิกคิดแบบนั้นภายในสิบ นาทีแรกของหนัง แล้วต้องทนกับเขาอีกเกือบชั่วโมง
หนังยาวแค่ประมาณ 70 นาทีเท่านั้น ความยาวที่สั้นช่วยให้เราทนสิ่งไม่ดีได้ง่ายขึ้น แต่ Barbie Fairytopia กลับไม่จำเป็นต้องพึ่ง “ความสั้น” มาช่วยเลย เพราะมันทำให้ประทับใจได้ด้วยความตั้งใจในการเล่าเรื่องที่จริงจัง ทั้งที่มันอาจจะเป็นแค่โฆษณาขายตุ๊กตาแบบขอไปทีเท่านั้นก็ได้แท้ ๆ