โครงเรื่องในซีซั่นนี้ผสมผสานความตลกแบบผู้ใหญ่กับดราม่าที่ลึกซึ้ง มันเหมือนการเดินทางของอาหารที่กำลังหาความหมายในชีวิต แต่บางฉากก็ดูแปลกประหลาดจนอึดอัด เช่น ฉากที่แบร์รี่ควบคุมแจ็คจากข้างในกางเกง มันเป็นส่วนหนึ่งของความฮาแบบหนังตลกเรท R ที่อาจไม่เหมาะกับทุกคน แต่ก็ทำให้ซีรีส์โดดเด่นไม่เหมือนใคร
Sausage Party: Foodtopia ซีซั่น 2 เล่าเรื่องของ แฟรงค์ ไส้กรอกที่ชีวิตไม่เคยง่ายตั้งแต่ เบรนด้า แฟนสาวตายไป เขายังคงเห็นภาพหลอนของเธอตายในอ้อมแขน เหมือนเหตุการณ์ในซีซั่นที่แล้ว อาหารทั้งหลายใน Foodtopia ไม่มีความสุขเลย แม้แฟรงค์จะพยายามบังคับให้ทุกคนยิ้ม แต่ความจริงคือความสุขต้องมาจากภายใน ในดินแดนนี้มีความร้อนอบอ้าวที่ทำให้อาหารละลายและต้องทำงานหนัก พวกเขาต่อสู้อุตลุดเพื่อแย่งที่ในตู้เย็น แฟรงค์อ้างว่าจะสร้างโซนเย็นที่มีตู้เย็นให้ทุกคน แต่ไม่มีใครเชื่อเพราะเขาดูไม่น่าไว้ใจ
สิ่งที่ทำให้เรื่องน่าติดตามคือการเสียดสีสังคมผ่านตัวละครอาหารเหล่านี้ แฟรงค์ถูกมองว่าชอบเล่น “การ์ดเบรนด้า” คือใช้ชื่อเธอเป็นข้ออ้างสำหรับความผิดพลาด ทุกคนไม่พอใจกับสถานการณ์ และแฟรงค์เองก็เช่นกัน แจ็ค มนุษย์คนเดียวที่อยากเข้าร่วม Foodtopia พยายามปลอบใจแฟรงค์ แต่บางครั้งแจ็คก็คิดว่าแฟรงค์กำลังเล่นละคร แต่ที่แฟรงค์ไม่รู้คือ เพื่อนอาหารกำลังวางแผนล้มเขาโดยการฆ่าเขาและแจ็ค
โชคดีที่แบร์รี่มาช่วยพาพวกเขาหนีทันเวลา ตอนนี้แฟรงค์ แจ็ค แบร์รี่ และแซมมี่ต้องออกเดินทางไปหาชุมชนอาหารใหม่ มันน่าเศร้าที่เห็นแจ็คพยายามโน้มน้าวให้พวกอาหารยอมรับเขาเหมือนเป็นอาหาร ทั้งที่เขาเป็นมนุษย์ พวกอาหารใช้เขาให้วิ่งผ่านทะเลทรายร้อนเพื่อไปถึงจุดหมาย แล้วสุดท้ายก็ทิ้งเขาไว้ข้างหลังเพื่อไปสำรวจ Newfoodland ที่นั่นดูสมบูรณ์แบบ แต่แล้วพวกเขาก็ค้นพบความจริงที่น่าตกใจ มันคืออะไรกันแน่
จุดเด่นของ Sausage Party: Foodtopia ซีซั่น 2 คือการใช้อนิเมชั่น 2D ที่สดใสและเต็มไปด้วยสีสัน เพื่อถ่ายทอดโลกอาหารมีชีวิต การออกแบบตัวละครอาหารแต่ละชิ้นดูน่ารักแต่แฝงความโหดร้าย เช่น ไส้กรอกที่กำลังละลายหรือขนมปังที่เหนื่อยล้า มันสะท้อนถึงชีวิตจริงที่เราต้องต่อสู้กับสภาพแวดล้อม ผู้กำกับอย่าง Evan Goldberg และทีมงานใช้เทคนิคนี้เพื่อเสียดสีสังคมมนุษย์ โดยเฉพาะเรื่องการปกครองและความเหลื่อมล้ำ ฉากที่อาหารต่อสู้อุตลุดเพื่อตู้เย็น มันเหมือนอุปมาของการแย่งชิงทรัพยากรในโลกจริง
อย่างไรก็ตาม จุดด้อยคือจังหวะเรื่องที่ช้าบ้าง บางตอนรู้สึกยืดเยื้อแม้จะกด fast-forward แล้วก็ยังไม่คืบหน้า มันเหมือนรถติดที่ทำให้เราหงุดหงิด แต่ก็เข้าใจได้เพราะเป็น อนิเมชั่น ที่เน้นตลกผสมน่ารัก การผสมผสานระหว่างภาพน่ารักกับมุกตลกหยาบคายอาจดูแปลกสำหรับบางคน เช่น บทสนทนาที่เต็มไปด้วยคำหยาบทุกประโยค มันเป็นเอกลักษณ์ของหนังตลกเรท R แต่ถ้าคุณคาดหวังเรื่องจริงจัง อาจผิดหวัง